"วิทัย รัตนากร" ชี้ 3 แนวทางลดหนี้ครัวเรือน 16.4 ล้านลบ.ให้ต่ำลง คนเข้าถึงเงินกู้ในระบบ
นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน แคนดิเดตผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่ กล่าวถึงมุมมองในการแก้ไขหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงของประเทศไทย ในช่วงหนึ่งของการบรรยายในโครงการพัฒนาศักยภาพ ผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจระดับสูง ประจำปี 2568 “รู้ทันโลกการเงิน ทลายหนี้สู่ความยั่งยืน“ ว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยน่าจะไม่ดี และน่าจะซึมลึกยาวนาน เนื่องจากภาคการส่งออกและท่องเที่ยวที่เป็นกำลังขับเคลื่อนหลักเริ่มน่ากังวล จากความเปลี่ยนแปลงและไม่แน่นอนจากการดำเนินนโยบายภาษีของสหรัฐ ขณะเดียวกันเศรษฐกิจไทยยังเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นหนี้ครัวเรือน การกระจายรายได้ สังคมสูงวัย และความไม่แน่นอนทางการเมือง ซึ่งการฟื้นเศรษฐกิจให้กลับมาคงไม่สามารถทำได้ในมาตรการเดียว
สำหรับการเดินหน้าแก้ไขหนี้ครัวเรือนบ้านเรา มองว่าสามารถดำเนินการได้ใน 3 แนวทางสำคัญ ที่จะมีส่วนทำให้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนที่อยู่ประมาณ 16.4 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 87 % ต่อ GDP ในไตรมาสแรกปี 2568 ให้ทยอยปรับลดลงได้อย่างมีนัยสำคัญ คือ
1.ทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ( GDP) หรือเศรษฐกิจเติบโตได้มากกว่าเงินเฟ้อ เพราะ GDP โต คือเศรษฐกิจโตคนมีรายได้มากขึ้น และชำระหนี้ได้มากขึ้น และกระจายรายได้ออกไปมากขึ้น ให้SMEs หรือ คนฐานรากมีรายได้มากขึ้นด้วย ซึ่งเมื่อขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ขึ้นสัดส่วนหนี้ครัวเรือนจะลดลง
2.ดอกเบี้ยต้องลดลง เพราะถ้าจ่ายหนี้เท่าเดิม แต่ดอกเบี้ยลดลงมันจะตัดเงินต้นได้มากขึ้น เพราะเมื่อทยอยๆ ตัดเงินต้นมากขึ้น หนี้ครัวเรือนก็จะลดลงในท้ายที่สุด สภาพการเงินส่วนบุคคลจะดีขึ้น คนมีกำลังซื้อกลับมาได้ และจะช่วยลดหนี้ครัวเรือนในภาพใหญ่ลงเร็ว
และ 3. การพิจารณออกมาตรการพิเศษออกมาช่วยการแก้หนี้ ซึ่งอันนี้ยังไม่อยากกล่าวถึง
อย่างไรก็ดี การแก้ไขหนี้ไม่สามารถดำเนินการได้โดยใครหรือหน่วยงานใดหน่วยงนาหนึ่ง ต้องร่วมมือกันทุกฝ่าย ขณะเดียวกันลูกหนี้ก็ต้องดูแลสิทธิและเข้าใจการเงินเพื่อให้บริหารจัดกาารหนี้ให้ดีขึ้นด้วย เช่น การรีไฟแนนซ์หนี้ อย่าวสินเชื่อเพื่อการกู้ซื้อซื้อที่อยู่อาศัยเมื่อมีการผ่อนชำระที่ดี ไม่ผิดนัดชำระหนี้เลย เมื่อครบ 3 ปีควรขอปรับลดดอกเบี้ยกับธนาคารที่กู้เพื่อขอลดดอกเบี้ยได้ ซึ่งลูกหนี้ที่มีความสามารถในการผ่อนชำระหนี้ดีมีวินัยสามารถทำได้ เป็นต้น
"พอเศรษฐกิจที่ดีขึ้น หมายถึงรายได้โต GDP โต คือ รายได้โต รายได้มากขึ้นก็มีเงินชำระหนี้มากขึ้น แค่นั้นเอง รายได้มากขึ้น calculation ก็ให้ตัวหารหนี้ต่อ GDP มันลง ลองคิดดูว่า GDP Nominal Term เวลา GDP โตมันเป็น Real Term ถ้า Nominal Term กลับไปอยู่ที่ 4.5 % สมมุติ หลายคนบอกเป็นไปได้ยังไง Inflation ถ้ากลับไปอยู่ค่ากลาง 1-3% ถ้า Inflation 2% เป็นไปได้ไหม เป็นไปได้มาก 2% เพราะค่ากลาง คือ 1-3 % แล้ว GDP โต 2.5% Inflation 2 Nominal Term เป็น 4.5% ท่านลองหารเอาแล้วกันว่าหนี้ครัวเรือนจะลงเร็วแค่ไหน 2-3 ปี มีต่ำกว่า 80% แน่นอน เรื่องที่สอง คือ ดอกเบี้ยต้องลง และวิธีที่สามอาจวุ่นวาย ขอข้ามไปเลยคือ ออกมาตรการรพิเศษ" นายวิทัย กล่าว
นอกจากนี้ นายวิทัย ยังกล่าวถึงแนวทางการแก้ไขหนี้และช่วยให้ลูกหนี้ายย่อยเข้าถึงสินเชื่อเพื่อมีส่วนช่วยเพิ่มกำลังซื้อในระบบเศรษฐกิจ โดยยกตัวอย่าง การดำเนินการของธนาคารออมสิน ที่ดำเนินบทบาทของการเป็นธนาคารเพื่อสังคม (Social Bank) ด้วยการดำเนินโมเดลธุรกิจแบบเชิงพาณิชย์ อาทิ สินเชื่อบ้าน สินเชื่อส่วนบุคคล และภารกิจเพื่อสังคมคู่ขนาานกันไป โดยนำกำไรจากผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์มาช่วยอุดหนุนธุรกิจเพื่อสังคมที่ยอมขาดทุนกำไร และความเสี่ยงที่จะเป็นหนี้เสีย (NPL) บางส่วน
ทั้งนี้ ภารกิจสำคัญในการช่วยสังคมของออมสิน คือ การดึงคนเข้าสู่สถาบันการเงินในระบบ (Financial Inclusion) โดยล่าสุดมีการออกสินเชื่อ เจาะกลุ่มความเสี่ยงสูง อาทิ พ่อค้าแม่ค้า ไรเดอร์ พนังงานบริการ ให้ทุกอาชีพที่ยังไม่เคยมีประวัติการกู้ได้เข้าถึงสินเชื่อในระบบ โดยการให้สินเชื่อกับกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง จะเน้นให้กู้วงเงินไม่สูง และให้ชำระเร็วภายในไม่เกิน 12 เดือน เพราะเมื่อประเมินเบื้องต้นว่ากว่า 20% อาจจะกลายเป็นหนี้เสีย แต่อีก 80% ยังเป็นลูกหนี้ดี ที่สำคัญยังเปิดโอกาสให้กลุ่มที่ไม่เคยได้รับโอกาสเข้าถึงสินเชื่อในระบบเข้าถึงสินเชื่อในระบบธนาคารได้ และเมื่อรายเดิมมีวินัยจึงค่อยๆ เพิ่มวงเงินให้ตามความสามารถในการชำระหนี้ ซึ่งการช่วยรายย่อยให้เข้าถึงสภาพคล่องได้มีส่วนให้กำลังซื้อในประเทศยังไปได้ไม่สะดุดไปหมด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง