ทบ. โต้กลับ "กัมพูชา" ซัดบิดเบือนข้อเท็จจริงปมทุ่นระเบิด ซัด 2 หน่วยงานให้ข่าวยังขัดแย้งกันเอง
พลตรีวินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อสาธารณชน จากกรณีที่ นายแฮง รัตนา ผู้อำนวยการสำนักงานปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติกัมพูชา (CMAA) ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน โดยกล่าวหาว่า ทหารไทยเป็นผู้ฝังกับระเบิดใหม่บริเวณแนวชายแดนไทย–กัมพูชา พร้อมอ้างว่ามีภาพถ่ายและคลิปวิดีโอที่บ่งชี้พฤติกรรมดังกล่าว โดยมีข้อเท็จจริง ดังนี้
1.ทุ่นระเบิดที่ตรวจพบในพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา บริเวณช่องบกและพื้นที่อื่น ๆ เป็นระเบิดชนิด PMN-2 ซึ่งเป็นระเบิดสังหารบุคคล ผลิตจากประเทศรัสเซีย กองทัพบกไทยไม่มีระเบิดชนิดนี้อยู่ในครอบครอง ไม่เคยมีอยู่ในสารบบการจัดหาเข้ามาใช้ในหน่วยทหารของกองทัพไทย และไม่เคยมีการนำมาใช้ในการปฏิบัติงานในทุกพื้นที่แนวชายแดนแต่อย่างใด
2.ภาพถ่ายและคลิปวิดีโอที่เผยแพร่โดยสื่อ Fresh News ของกัมพูชา ซึ่งถูกนำเสนอว่าเป็นหลักฐานการวางระเบิดของทหารไทย ตรวจสอบแล้วพบว่า เป็นภาพจากภารกิจของศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม (T-MAC) ในช่วงการฝึกเก็บกู้ หรือช่วงเวลาพักของกำลังพล ไม่ใช่การวางกับระเบิดแต่อย่างใด การนำเสนอข้อมูลในลักษณะดังกล่าวถือเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง และสร้างความเสียหายต่อประเทศไทยอย่างร้ายแรง
3.การที่ นายแฮง รัตนา กล่าวว่าทุ่นระเบิดอยู่ในเขตไทย ฝ่ายไทยต้องรับผิดชอบ พร้อมอ้างมาตรา 5 ของอนุสัญญาออตตาวา (Ottawa Treaty) ซึ่งระบุว่า “เจ้าของอธิปไตยเหนือดินแดนต้องเป็นผู้รับผิดชอบ” ยิ่งสะท้อนว่าทุ่นระเบิดที่พบอยู่ในเขตอธิปไตยของไทย และแสดงถึงการรุกล้ำเข้ามาในเขตแดนไทย ด้วยวิธีการแอบลักลอบข้ามแดนเข้ามาวางทุ่นระเบิดเอาไว้
นอกจากนี้ ยังขัดแย้งกับการให้ข่าวของทางการกัมพูชาเอง โดยวันนี้ (20 ก.ค. 68) พลโทหญิง มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ได้แถลงผ่านเพจเฟซบุ๊กกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ระบุว่า ทหารไทยเหยียบกับระเบิด ที่ บ้านเตโชรโกฏ ตำบลมรกต อำเภอจอมกสาน จังหวัดพระวิหาร กรณีการออกมาให้ข่าวย้อนแย้งกันเองของฝ่ายกัมพูชา ในประเด็นที่ นายแฮง รัตนา กล่าวว่าทุ่นระเบิดอยู่ในเขตไทย ฝ่ายไทยต้องรับผิดชอบ แสดงให้เห็นถึงความผิดพลาดในการพยายามบิดเบือนข่าวสารจนต้องออกมาแก้ข่าวกันเอง
กองทัพบก ขอยืนยันว่า ประเทศไทยและกองทัพไทยปฏิบัติตามพันธกรณี ตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด พร้อมเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชายุติการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และสร้างความเข้าใจผิดในระดับนานาชาติ