PRTR ชี้ครึ่งปีหลังดีมานด์ใช้ HR Outsourcing พุ่ง ลุ้นปี 69 ปิดดีลใหม่
จากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ส่งผลให้หลายอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบ กำลังซื้อที่ลดลงทำให้ภาคการผลิตเองต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ คุมเข้มต้นทุนเพิ่มมากขึ้น และหนึ่งในวิธีการที่เลี่ยงไม่ได้เลยคือการลดการจ้างบุคลากรประจำในองค์กรลง
นางสาวริศรา เจริญพานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีอาร์ทีอาร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ PRTR เปิดเผยกับ 'ฐานเศรษฐกิจ' ว่า ต้องยอมรับว่านับตั้งแต่ต้นปี 2568 จนถึงช่วงกลางปี เศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศมีความไม่แน่นอนอยู่มาก
แต่ด้วยความชัดเจนเรื่องภาษีการค้าและการเมืองในประเทศ ทำให้เศรษฐกิจเดินหน้าได้ต่อ ส่งผลให้ประเมินภาพรวมเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังปี 2568 มีแนวโน้มการขยายตัวที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งแรกปี และจากความชัดเจนทางเศรษฐกิจทำให้มีโอกาสที่ภาคเอกชนหันมาเพิ่มการจ้างงานมากขึ้น
ซึ่งส่งอานิสงส์เชิงบวกต่อธุรกิจของบริษัทในช่วงครึ่งหลังปี 2568 มีทิศทางการขยายตัวที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งแรกปี ซึ่งมีรายได้รวมอยู่ที่ระดับ 3,797.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 218.82 ล้านบาท หรือ 6.11% และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ระดับ 112.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.9 แสนบาท หรือ 0.25% จากเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน
มองว่าจริงๆ การชะลอตัวลงของเศรษฐกิจแทบจะไม่มีผลกระทบต่อธุรกิจของ PRTR เท่าไหร่นัก ด้วยการขยายตลาดที่หลากหลายอุตสาหกรรม ทำให้เมื่ออุตสาหกรรมหนึ่งได้รับผลกระทบ ก็ยังมีภาคส่วนอื่นเข้ามาช่วยทดแทน อีกทั้งเรายังเดินหน้าขยายอุตสาหกรรมใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ทำให้เชื่อว่าในปี 68 นี้ การเติบโตของผลการดำเนินงานยังทำได้
โดยธุรกิจจัดจ้างพนักงาน (Outsource) ปัจจุบันมีพนักงานเติบโตแล้วเป็น 19,236 คน เพิ่มขึ้นจาก 18,153 คน และตั้งเป้าสิ้นปีอยู่ที่ 20,500 คน ซึ่งมองว่าจากความต้องการจ้างพนักงาน Outsource เพิ่มในช่วงที่เหลือของปีนี้จะทำให้บริษัททำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
ทั้งนี้ ธุรกิจ Outsource ยังคงเป็นธุรกิจหลักที่สร้าง Recurring Income มีสัดส่วนรายได้ประมาณ 96% จากการเพิ่มขึ้นของลูกค้าในกลุ่มอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (Consumer Electronics) กลุ่มสื่อสารและโทรคมนาคม อีคอมเมิร์ซและไอที (E-Commerce & IT) และกลุ่มพลังงาน (Energy) เป็นต้น
พร้อมกันนี้ บริษัทจะขยายไปยังกลุ่มอาชีพใหม่ เช่น แม่บ้าน พนักงานขับรถ พนักงานขายผลิตภัณฑ์ยาและสุขภาพ ที่ปรึกษาด้านความงาม (Beauty Advisor – BA) รับทิศทางตลาด Outsource กลายเป็นทางเลือกสำคัญขององค์กรในยุคเศรษฐกิจผันผวน เพราะช่วยลดต้นทุนด้านทรัพยากรบุคคล และเพิ่มความยืดหยุ่น
ในส่วน ธุรกิจบริการสรรหาพนักงาน (Recruitment) ต้องยอมรับว่าได้ในปี 2568 อาจไม่ได้มีการเติบโตมากนัก เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อดีมานด์ในการสรรหาพนักงานระดับ C Level ลดลง
PINNO- BLACKSMITH ทำกำไร
ขณะที่ 2 ธุรกิจใหม่มีการเติบโตไปในทิศทางที่ดี โดยเฉพาะธุรกิจให้บริการซอฟต์แวร์ด้านการบริหารจัดการบุคลากร (Human capital management software) ภายใต้ PINNO คาดว่าจะถึงจุดคุ้มทุนสามารถ Break Even ได้ในปีนี้ ด้วยซอฟต์แวร์ ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทำให้สามารถเจาะกลุ่มลูกค้าขนาดกลางและขนาดเล็กได้ดี และยังเตรียมแผนขยับเจาะกลุ่มลูกค้าขนาดใหญ่ในปีนี้
ด้านธุรกิจให้บริการฝึกอบรมแบบออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มและออฟไลน์ (Integrated Learning Services) โดย BLACKSMITH มองว่าเติบโตในทิศทางที่บริษัทคาดหวังไว้ สอดรับการเทรนด์องค์กรที่มุ่งเน้นพัฒนาบุคลากรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้กับองค์กร และคาดว่าจะถึงจุดคุ้มทุนในปีนี้ได้เช่นเดียวกัน
ในส่วนธุรกิจ Nexmove Platform บริษัทได้พัฒนาแพลตฟอร์มให้บริการลูกค้าในการสรรหาพนักงานด้วยระบบ AI ที่ล้ำสมัย คาดหวังจะเข้ามาช่วยรายได้และการบริการที่ครบวงจรได้เพิ่มมากยิ่งขึ้น สนับสนุนให้ผลการดำเนินงานในปี 2568 นี้เติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ไม่น้อยกว่า 10%
เป็นปกติที่ธุรกิจใหม่ในระยะเริ่มแรกราว 2-3 ปีแรกยังมีผลขาดทุน ซึ่ง PINNO-BLACKSMITH และ Nexmove ก็เช่นเดียวกัน ที่ผ่านมาเราก็พยายามฟูมฟักมาพอสมควรแล้ว ทำให้มองว่าในปีนี้จะเห็นการถึงจุดคุ้มทุน และเริ่มสร้างกำไรที่เพิ่มขึ้นในปีถัดไป
ปี 69 เคาะดีลลงทุนใหม่
สำหรับแผนงานในระยะ 3-5 ปี (2568-2572) บริษัทยังคงเดินหน้าขยายการให้บริการที่เกี่ยวเนื่องกับ Outsource อย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมายการเติบดตไว้ที่เฉลี่ยไม่น้อยกว่า 5-10% ต่อปี ขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสกว้างในการศึกษาการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลักของบริษัทเพิ่มเติม
เบื้องต้นบริษัทคาดว่าภายในปี 2569 จะได้เห็นความชัดเจนการลงทุนในดีลใหม่อย่างน้อย 1 ดีล ปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาการลงทุนในธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับการรักษาความปลอดภัย คาดมูลค่าลงทุนไม่เกิน 100 ล้านบาท และ BPO (Business Process Outsourcing) คาดมูลค่าลงทุนไม่เกิน 300-400 ล้านบาท ซึ่งมีความเป็นไปได้ทั้งรูปแบบของการควบรวมกิจการ (M&A) และการร่วมทุน (JV)
ส่วนแหล่งเงินสำหรับรองรับการลงทุนนั้น ส่วนหนึ่งมาจากเงินที่ได้รับจากการระดมทุน IPO ซึ่งปัจจุบันยังมีเหลืออีกหลายร้อยล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังมีความสามารถในการกู้ยืมจากสถาบันการเงินได้อีกด้วย ด้วยอัตราหนี้สินในปัจจุบันที่ยังคงอยู่ระดับต่ำ ดังนั้นจะไม่กระทบต่อสภาพคล่องและผลการดำเนินงานของบริษัท
สำหรับความสามารถในการรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิโดยเฉลี่ยคาดว่าจะทำได้ที่ไม่น้อยกว่า 8% และ 3% ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 3/2568 คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตที่ดีกว่าเมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน และคาดว่าผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2568 จะดีที่สุดในปีนี้ เนื่องจากเป็นไฮซีซันของธุรกิจ เป็นปกติเพราะมีการจ่ายโบนัสพนักงาน ทำให้บริษัทจะได้รับรายได้เข้ามาเพิ่ม