โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

PRTR ชี้ครึ่งปีหลังดีมานด์ใช้ HR Outsourcing พุ่ง ลุ้นปี 69 ปิดดีลใหม่

ฐานเศรษฐกิจ

อัพเดต 9 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 7 ชั่วโมงที่ผ่านมา

จากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ส่งผลให้หลายอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบ กำลังซื้อที่ลดลงทำให้ภาคการผลิตเองต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ คุมเข้มต้นทุนเพิ่มมากขึ้น และหนึ่งในวิธีการที่เลี่ยงไม่ได้เลยคือการลดการจ้างบุคลากรประจำในองค์กรลง

นางสาวริศรา เจริญพานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีอาร์ทีอาร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ PRTR เปิดเผยกับ 'ฐานเศรษฐกิจ' ว่า ต้องยอมรับว่านับตั้งแต่ต้นปี 2568 จนถึงช่วงกลางปี เศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศมีความไม่แน่นอนอยู่มาก

แต่ด้วยความชัดเจนเรื่องภาษีการค้าและการเมืองในประเทศ ทำให้เศรษฐกิจเดินหน้าได้ต่อ ส่งผลให้ประเมินภาพรวมเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังปี 2568 มีแนวโน้มการขยายตัวที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งแรกปี และจากความชัดเจนทางเศรษฐกิจทำให้มีโอกาสที่ภาคเอกชนหันมาเพิ่มการจ้างงานมากขึ้น

ซึ่งส่งอานิสงส์เชิงบวกต่อธุรกิจของบริษัทในช่วงครึ่งหลังปี 2568 มีทิศทางการขยายตัวที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งแรกปี ซึ่งมีรายได้รวมอยู่ที่ระดับ 3,797.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 218.82 ล้านบาท หรือ 6.11% และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ระดับ 112.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.9 แสนบาท หรือ 0.25% จากเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน

มองว่าจริงๆ การชะลอตัวลงของเศรษฐกิจแทบจะไม่มีผลกระทบต่อธุรกิจของ PRTR เท่าไหร่นัก ด้วยการขยายตลาดที่หลากหลายอุตสาหกรรม ทำให้เมื่ออุตสาหกรรมหนึ่งได้รับผลกระทบ ก็ยังมีภาคส่วนอื่นเข้ามาช่วยทดแทน อีกทั้งเรายังเดินหน้าขยายอุตสาหกรรมใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ทำให้เชื่อว่าในปี 68 นี้ การเติบโตของผลการดำเนินงานยังทำได้

โดยธุรกิจจัดจ้างพนักงาน (Outsource) ปัจจุบันมีพนักงานเติบโตแล้วเป็น 19,236 คน เพิ่มขึ้นจาก 18,153 คน และตั้งเป้าสิ้นปีอยู่ที่ 20,500 คน ซึ่งมองว่าจากความต้องการจ้างพนักงาน Outsource เพิ่มในช่วงที่เหลือของปีนี้จะทำให้บริษัททำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้

ทั้งนี้ ธุรกิจ Outsource ยังคงเป็นธุรกิจหลักที่สร้าง Recurring Income มีสัดส่วนรายได้ประมาณ 96% จากการเพิ่มขึ้นของลูกค้าในกลุ่มอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (Consumer Electronics) กลุ่มสื่อสารและโทรคมนาคม อีคอมเมิร์ซและไอที (E-Commerce & IT) และกลุ่มพลังงาน (Energy) เป็นต้น

พร้อมกันนี้ บริษัทจะขยายไปยังกลุ่มอาชีพใหม่ เช่น แม่บ้าน พนักงานขับรถ พนักงานขายผลิตภัณฑ์ยาและสุขภาพ ที่ปรึกษาด้านความงาม (Beauty Advisor – BA) รับทิศทางตลาด Outsource กลายเป็นทางเลือกสำคัญขององค์กรในยุคเศรษฐกิจผันผวน เพราะช่วยลดต้นทุนด้านทรัพยากรบุคคล และเพิ่มความยืดหยุ่น

ในส่วน ธุรกิจบริการสรรหาพนักงาน (Recruitment) ต้องยอมรับว่าได้ในปี 2568 อาจไม่ได้มีการเติบโตมากนัก เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อดีมานด์ในการสรรหาพนักงานระดับ C Level ลดลง

PINNO- BLACKSMITH ทำกำไร

ขณะที่ 2 ธุรกิจใหม่มีการเติบโตไปในทิศทางที่ดี โดยเฉพาะธุรกิจให้บริการซอฟต์แวร์ด้านการบริหารจัดการบุคลากร (Human capital management software) ภายใต้ PINNO คาดว่าจะถึงจุดคุ้มทุนสามารถ Break Even ได้ในปีนี้ ด้วยซอฟต์แวร์ ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทำให้สามารถเจาะกลุ่มลูกค้าขนาดกลางและขนาดเล็กได้ดี และยังเตรียมแผนขยับเจาะกลุ่มลูกค้าขนาดใหญ่ในปีนี้

ด้านธุรกิจให้บริการฝึกอบรมแบบออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มและออฟไลน์ (Integrated Learning Services) โดย BLACKSMITH มองว่าเติบโตในทิศทางที่บริษัทคาดหวังไว้ สอดรับการเทรนด์องค์กรที่มุ่งเน้นพัฒนาบุคลากรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้กับองค์กร และคาดว่าจะถึงจุดคุ้มทุนในปีนี้ได้เช่นเดียวกัน

ในส่วนธุรกิจ Nexmove Platform บริษัทได้พัฒนาแพลตฟอร์มให้บริการลูกค้าในการสรรหาพนักงานด้วยระบบ AI ที่ล้ำสมัย คาดหวังจะเข้ามาช่วยรายได้และการบริการที่ครบวงจรได้เพิ่มมากยิ่งขึ้น สนับสนุนให้ผลการดำเนินงานในปี 2568 นี้เติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ไม่น้อยกว่า 10%

เป็นปกติที่ธุรกิจใหม่ในระยะเริ่มแรกราว 2-3 ปีแรกยังมีผลขาดทุน ซึ่ง PINNO-BLACKSMITH และ Nexmove ก็เช่นเดียวกัน ที่ผ่านมาเราก็พยายามฟูมฟักมาพอสมควรแล้ว ทำให้มองว่าในปีนี้จะเห็นการถึงจุดคุ้มทุน และเริ่มสร้างกำไรที่เพิ่มขึ้นในปีถัดไป

ปี 69 เคาะดีลลงทุนใหม่

สำหรับแผนงานในระยะ 3-5 ปี (2568-2572) บริษัทยังคงเดินหน้าขยายการให้บริการที่เกี่ยวเนื่องกับ Outsource อย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมายการเติบดตไว้ที่เฉลี่ยไม่น้อยกว่า 5-10% ต่อปี ขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสกว้างในการศึกษาการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลักของบริษัทเพิ่มเติม

เบื้องต้นบริษัทคาดว่าภายในปี 2569 จะได้เห็นความชัดเจนการลงทุนในดีลใหม่อย่างน้อย 1 ดีล ปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาการลงทุนในธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับการรักษาความปลอดภัย คาดมูลค่าลงทุนไม่เกิน 100 ล้านบาท และ BPO (Business Process Outsourcing) คาดมูลค่าลงทุนไม่เกิน 300-400 ล้านบาท ซึ่งมีความเป็นไปได้ทั้งรูปแบบของการควบรวมกิจการ (M&A) และการร่วมทุน (JV)

ส่วนแหล่งเงินสำหรับรองรับการลงทุนนั้น ส่วนหนึ่งมาจากเงินที่ได้รับจากการระดมทุน IPO ซึ่งปัจจุบันยังมีเหลืออีกหลายร้อยล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังมีความสามารถในการกู้ยืมจากสถาบันการเงินได้อีกด้วย ด้วยอัตราหนี้สินในปัจจุบันที่ยังคงอยู่ระดับต่ำ ดังนั้นจะไม่กระทบต่อสภาพคล่องและผลการดำเนินงานของบริษัท

สำหรับความสามารถในการรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิโดยเฉลี่ยคาดว่าจะทำได้ที่ไม่น้อยกว่า 8% และ 3% ตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 3/2568 คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตที่ดีกว่าเมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน และคาดว่าผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2568 จะดีที่สุดในปีนี้ เนื่องจากเป็นไฮซีซันของธุรกิจ เป็นปกติเพราะมีการจ่ายโบนัสพนักงาน ทำให้บริษัทจะได้รับรายได้เข้ามาเพิ่ม

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...