ก.เกษตรฯ เตรียมพัฒนา “จุลสาหร่าย” สู่พลังงานเครื่องบิน
สำนักข่าวไทย Online
อัพเดต 2 กันยายน 2568 เวลา 20.33 น. • เผยแพร่ 3 ชั่วโมงที่ผ่านมา • สำนักข่าวไทย อสมทกรุงเทพฯ 2 ก.ย. – กระทรวงเกษตรฯ ผนึกกำลังภาคเอกชน พัฒนา “จุลสาหร่าย” สู่เชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน หรือ SAF คาดเห็นผลภายใน 1-2 ปี ชี้จะประหยัดกว่าการใช้น้ำมันทอดใช้แล้ว
นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยการส่งเสริมการเพาะเลี้ยงจุลสาหร่ายเพื่อผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืนและผลิตอาหารสัตว์จากกากจุลสาหร่าย ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมีนางสาวภัทราภรณ์ โสเจยยะ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, นางสาวปิ่นมณี แก้วดวงสี กรรมการบริษัท แอดวานซ์ ไบโอคาร์บอน จำกัด และนายเดชพนต์ เลิศสุวรรณโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ลงนาม โดยการลงนาม MOU ครั้งนี้เพื่อแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันในการศึกษาและพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการเพาะเลี้ยงจุลสาหร่าย การสกัดน้ำมันจากจุลสาหร่าย และการผลิตอาหารสัตว์จากกากจุลสาหร่ายรวมถึงเป็นกรอบความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูล ความรู้ และประสบการณ์ระหว่างคู่ความร่วมมือและส่งเสริมการสร้างคุณค่าและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพอย่างยั่งยืน
นายอรรถกร กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญในการใช้ทรัพยากรชีวภาพอย่างคุ้มค่า เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกทั้ง ยังเปิดโอกาสให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีชีวภาพ พลังงานสะอาด พร้อมพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่เพิ่มมูลค่าสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้แก่ชุมชนเกษตรกร ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนานวัตกรรมด้านพลังงานและการเกษตรของประเทศไทย นับเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จจะก่อให้เกิดนวัตกรรมที่มีคุณค่าทั้งด้านพลังงาน เกษตรกรรมและสิ่งแวดล้อมนำพาประเทศไทยก้าวไปสู่อนาคตที่มั่นคงและยั่งยืน
ด้านนายเดชพนต์ กล่าวว่า ทั้ง 3 ฝ่าย พร้อมผนึกกำลังในการขับเคลื่อนการพัฒนา “จุลสาหร่าย”ทั้งในด้านกรอบการวิจัย การพัฒนา การแบ่งปันข้อมูล การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ความร่วมมือทางวิชาการ รวมทั้งการร่วมกันผลักดันให้เกิดการใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ที่เหมาะสม โดยหลังจากนี้ไปทั้ง กระทรวงเกษตรฯ บริษัท แอดวานซ์ ไบโอคาร์บอน จำกัดและบีบีจีไอ จะร่วมกันเพาะเลี้ยงจุลสาหร่ายโดยจะต้องตกผลึกในเรื่องรูปแบบการเลี้ยงให้ได้ก่อน หลังจากนั้นจะไปเริ่มต้นเพาะเลี้ยงจุลสาหร่ายที่วิสาหกิจชุมชนที่กำลังจะตั้งขึ้นซึ่งที่ผ่านมา บีบีจีไอ มีประสบการณ์ในการนำพืชมาผลิตเป็นพลังงานทดแทน เช่น การนำกากน้ำตาลและมันสำปะหลังมาผลิตเป็นเอทานอลเพื่อผสมในน้ำมันเบนซิน การนำอ้อยน้ำตาล มันสำปะหลังและปาล์มน้ำมัน มาผลิตเป็นไบโอดีเซลที่เรียกว่า บี 5 เป็นต้น
นายเดชพนต์ กล่าวด้วยว่า การนำจุลสาหร่ายมาผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน หรือ SAF นั้น ต้องบอกก่อนว่า บีบีจีไอ มีโรงงานผลิต SAF อยู่แล้วเพราะบีบีจีไออยู่ในเครือของบางจาก โดยใช้วัตถุดิบคือน้ำมันทอดใช้แล้ว แต่ครั้งนี้จะนำจุลสาหร่ายมาผลิต SAF เพิ่มเติม ส่วนความแตกต่างของน้ำมันทอดใช้แล้ว กับ จุลสาหร่าย จะแตกต่างกันหรือไม่นั้น เบื้องต้นพบว่า การใช้น้ำมันทอดใช้แล้วมาผลิต SAF จะต้องนำน้ำมันทอดไปแยกสิ่งปนเปื้อนก่อนจึงจะผลิตได้ทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ส่วนการผลิตจากจุลสาหร่ายสามารถนำมาผลิตได้แบบที่ไม่ต้องมีขั้นตอนยุ่งยากทำให้ผลิตได้ง่ายกว่า และจะมีต้นทุนที่ต่ำกว่า คาดว่าอีกประมาณ 1-2 ปีโครงการผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน หรือ SAF จากจุลสาหร่าย น่าจะเห็นเป็นรูปธรรมได้ เนื่องจากจุลสาหร่ายเป็นพืชที่ให้น้ำมันในปริมาณที่มากอีกชนิดหนึ่งที่เพิ่งจะถูกค้นพบโดยมหาวิทยาลัยมิเอะ ประเทศญี่ปุ่น เมื่อ 3 ปีที่แล้ว. -513-สำนักข่าวไทย