ปัสสาวะเล็ด ไม่ใช่แค่เรื่องของผู้สูงอายุ คนวัยทำงานก็เสี่ยง!
ภาวะปัสสาวะเล็ด (Urinary Incontinence) หรือภาวะปัสสาวะกลั้นไม่ได้ อาจดูเหมือนเป็นปัญหาที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ แต่ในความเป็นจริงแล้ว คนวัยทำงานหรือแม้แต่วัยรุ่นก็สามารถเผชิญกับภาวะนี้ได้เช่นกัน โดยเฉพาะผู้หญิงที่ผ่านการตั้งครรภ์ หรือผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงบางอย่าง ภาวะนี้แม้จะไม่อันตรายถึงชีวิต แต่สามารถส่งผลกระทบต่อความมั่นใจและคุณภาพชีวิตอย่างมาก หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา อาจทำให้อาการลุกลาม
วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี เกราะป้องกันมะเร็ง ใครบ้างควรฉีด?
โรคเอดส์คืออะไร? แนะวิธีและช่องทางรับยาต้านเอชไอวี(HIV)
ปัสสาวะเล็ด ภาวะที่ไม่สามารถควบคุมการปัสสาวะได้อย่างเต็มที่ ทำให้มีปัสสาวะไหลออกโดยไม่ตั้งใจ อาจเกิดขึ้นขณะไอ จาม วิ่ง กระโดด หรือแม้แต่ตอนหัวเราะ ซึ่งสร้างความไม่สบายใจและกระทบต่อคุณภาพชีวิต โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิงหลังคลอด ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด เช่น หอบหืดหรือภูมิแพ้ที่มีอาการไอเรื้อรัง
ประเภทของปัสสาวะเล็ด
- ปัสสาวะเล็ดจากแรงดัน (Stress Incontinence) เกิดขึ้นเมื่อมีแรงกดดันในช่องท้องเพิ่มขึ้น เช่น ไอ จาม ยกของหนัก หรือออกกำลังกาย
- ปัสสาวะเล็ดจากอาการปวดปัสสาวะเฉียบพลัน (Urge Incontinence) มีความรู้สึกปวดปัสสาวะแบบทันที และไม่สามารถกลั้นได้ทัน ถึงแม้ปริมาณปัสสาวะจะไม่มาก มักเกิดจากกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกินไป (Overactive Bladder)
- ปัสสาวะเล็ดแบบผสม (Mixed Incontinence) เป็นการรวมกันของทั้งแบบแรงดันและแบบปวดปัสสาวะฉับพลัน
- ปัสสาวะเล็ดจากการล้น (Overflow Incontinence) ปัสสาวะล้นออกมาเนื่องจากกระเพาะปัสสาวะไม่สามารถขับถ่ายได้หมด หรือมีการอุดตันบางส่วน
สาเหตุของปัสสาวะเล็ดในคนอายุน้อย
- กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรง มักเกิดหลังคลอดบุตรโดยเฉพาะการคลอดทางช่องคลอดหลายครั้ง หรือการคลอดที่ใช้เวลานาน รวมถึงการยกของหนัก น้ำหนักขึ้นมากเกินไป หรือออกกำลังกายไม่ถูกวิธี ซึ่งส่งผลให้กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อบริเวณอุ้งเชิงกราน รวมถึงกล้ามเนื้อที่ควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะอ่อนแรงหรือหย่อนยานลงได้
- ฮอร์โมนเพศเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในผู้หญิงหลังคลอด หรือช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน รวมถึงผู้ที่ใช้ยาคุมกำเนิดบางชนิด หรือวัยใกล้หมดประจำเดือน
- พฤติกรรมเสี่ยง เช่น การกลั้นปัสสาวะเป็นเวลานาน การดื่มน้ำหวาน ชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและแอลกอฮอล์มากเกินไป ซึ่งกระตุ้นให้กระเพาะปัสสาวะทำงานหนักขึ้น
- โรคประจำตัวบางอย่าง เช่น เบาหวาน, โรคทางระบบประสาทที่ส่งผลต่อการควบคุมกระเพาะปัสสาวะ (เช่น ปลอกประสาทเสื่อมแข็ง), หรือภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน (Overactive Bladder)
- การบาดเจ็บหรือผลข้างเคียงจากการผ่าตัด บริเวณอุ้งเชิงกราน เช่น การผ่าตัดมดลูก หรือการผ่าตัดต่อมลูกหมากในเพศชาย
อาการที่ควรสังเกต
- ปัสสาวะเล็ดเวลาหัวเราะ ไอ จาม หรือยกของหนัก
- ปัสสาวะเล็ดโดยไม่รู้ตัวตอนหลับ
- ปัสสาวะเล็ดทันทีเมื่อรู้สึกปวดปัสสาวะอย่างรุนแรงและไม่สามารถกลั้นได้
- ปัสสาวะบ่อยผิดปกติ จนรบกวนชีวิตประจำวัน
ปัสสาวะเล็ด รักษาได้ด้วยแนวทางการแพทย์ที่ทันสมัย
การรักษาภาวะปัสสาวะเล็ด ขึ้นอยู่กับสาเหตุและระดับความรุนแรงของอาการ โดยแพทย์จะประเมินและเลือกแนวทางการรักษาที่เหมาะสมเฉพาะบุคคล ซึ่งอาจประกอบด้วยวิธีต่อไปนี้
- การปรับพฤติกรรมและฝึกขับถ่าย การจัดตารางเวลาเข้าห้องน้ำอย่างสม่ำเสมอ (Bladder Training) รวมถึงหลีกเลี่ยงอาหารหรือเครื่องดื่มที่กระตุ้นการขับปัสสาวะ เช่น กาแฟ แอลกอฮอล์ และการดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสม
- การบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (Kegel Exercise) การฝึกเกร็งและคลายกล้ามเนื้อบริเวณช่องคลอดหรือทวารหนักอย่างสม่ำเสมอ ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่ควบคุมการขับปัสสาวะ ซึ่งเป็นแนวทางแรกที่สำคัญและมักได้ผลดีสำหรับปัสสาวะเล็ดจากแรงดัน
- การใช้ยา สำหรับผู้ที่มีภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน (Overactive Bladder) หรือมีอาการปวดปัสสาวะฉับพลัน แพทย์อาจพิจารณาใช้ยาคลายกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะ เพื่อลดการบีบตัวที่ผิดปกติของกระเพาะปัสสาวะ
- กายภาพบำบัดอุ้งเชิงกราน (Pelvic Floor Physical Therapy) โดยนักกายภาพบำบัดเฉพาะทางด้านอุ้งเชิงกราน เพื่อฝึกและฟื้นฟูกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องอย่างถูกวิธี อาจมีการใช้เทคนิค Biofeedback หรือการกระตุ้นด้วยไฟฟ้า (Electrical Stimulation) เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยเรียนรู้การทำงานของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานได้ดียิ่งขึ้น
- การใช้อุปกรณ์พยุงในช่องคลอด (Pessary) เป็นอุปกรณ์ที่ใส่ในช่องคลอดเพื่อช่วยพยุงและรองรับท่อปัสสาวะ มักใช้ในกรณีปัสสาวะเล็ดจากแรงดัน โดยเฉพาะผู้ที่ยังไม่พร้อมหรือไม่ต้องการผ่าตัด
- การฉีดสารเพิ่มปริมาตรรอบท่อปัสสาวะ (Urethral Bulking Agents) เป็นหัตถการแบบ minimally invasive โดยแพทย์จะฉีดสารสังเคราะห์ (เช่น Bulkamid, Macroplastique) เข้าไปรอบ ๆ ท่อปัสสาวะ เพื่อเพิ่มความหนาของเนื้อเยื่อ ทำให้ท่อปัสสาวะปิดได้สนิทขึ้น และลดการเล็ดของปัสสาวะ เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการไม่รุนแรงถึงปานกลาง และเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัดใหญ่ ใช้เวลาพักฟื้นน้อยและเห็นผลได้ค่อนข้างเร็ว
- การรักษาด้วยเลเซอร์ช่องคลอด (Vaginal Laser Treatment) เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ได้รับความนิยมสำหรับปัสสาวะเล็ดจากแรงดันในระดับไม่รุนแรงถึงปานกลาง โดยใช้พลังงานเลเซอร์ไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินบริเวณผนังช่องคลอดส่วนหน้า ซึ่งช่วยให้เนื้อเยื่อกระชับและเพิ่มการพยุงท่อปัสสาวะ การรักษามักไม่เจ็บปวด และไม่ต้องพักฟื้นนาน
การผ่าตัด ใช้ในกรณีที่อาการรุนแรง
- การผ่าตัดคล้องท่อปัสสาวะด้วยวัสดุสังเคราะห์ (Sling Procedure) เป็นการผ่าตัดที่ได้ผลดีเยี่ยมและเป็นมาตรฐานทอง (gold standard) สำหรับปัสสาวะเล็ดจากแรงดัน โดยจะใช้เทปตาข่ายสังเคราะห์คล้องใต้ท่อปัสสาวะเพื่อเป็นเหมือนเปลพยุง ทำให้ท่อปัสสาวะได้รับการรองรับที่ดีขึ้นเมื่อมีแรงดันในช่องท้อง
- การผ่าตัดแก้ไขกระเพาะปัสสาวะหย่อน (Burch Colposuspension) เป็นการผ่าตัดที่ช่วยยกกระเพาะปัสสาวะให้กลับมาอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม
หากคุณมีอาการปัสสาวะเล็ด อย่าปล่อยให้ความอายมาขวางการรักษา เพราะภาวะนี้สามารถจัดการและรักษาให้ดีขึ้นได้
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลพญาไท 2