ตร.เอาผิด “เจ้าอาวาสวัดม่วง” แจ้งความเท็จ อ้างเงินสด-ทองคำ 22 ล้านถูกขโมย
จากกรณีนายศักดา เลิศฤทธิ์สมบูรณ์ ไวยาวัจกรวัดม่วง เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สน.เพชรเกษมว่า ถูกคนร้ายบุกเข้าไปลักทรัพย์ ภายในกุฎิ พระราชวัชรพัฒนาทร (ณรงค์ โพธิ์กระทุ่ม) เจ้าอาวาสวัดม่วง เพชรเกษม บางแค กทม. และทรัพย์สินสูญหายหลายรายการ อาทิ เงินสด 10 ล้านบาท และทองคำแท่งหนัก 50 บาท รวม 5 แท่ง รวมน้ำหนัก 250 บาท มูลค่าประมาณกว่า 12 ล้านบาท รวมทรัพย์สิน 2 รายการ มูลค่ากว่า 22 ล้านบาท ตามที่นำเสนอไปแล้วนั้น
คืบหน้าล่าสุดเมื่อวันที่ 22 ส.ค. มีรายงานว่า พระราชวัชรพัฒนาทร (ณรงค์ โพธิ์กระทุ่ม) เจ้าอาวาสวัดม่วง ซึ่งเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญาที่ 405/2568 ลงวันที่ 13 ส.ค.68 เดินทางมายัง สน.เพชรเกษม เพื่อเข้าพบ พ.ต.ท.ศุภสิทธิ์ มากผ่อง รอง ผกก.(สอบสวน) สน.เพชรเกษม เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาว่า "ร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ เกี่ยวกับความผิดอาญาแก่พนักงานสอบสวน หรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย"
เบื้องต้นพระราชวัชรพัฒนาทร เจ้าอาวาสวัดม่วง ได้ให้การปฏิเสธในข้อหาดังกล่าว โดยทางพนักงานสอบสวนจึงได้สอบปากคำ พร้อมพิมพ์ลายนิ้วมือเพื่อประกอบสำนวน ก่อนปล่อยตัวกลับไป โดยจะนัดหมายให้มาสอบปากคำเพิ่มเติมภายหลัง
มีรายงานข่าวแจ้งอีกว่า หลังจากเจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งความ ทางพนักงานสอบสวน และฝ่ายสืบสวนสน.เพชรเกษม ได้ประสานให้เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน ลงพื้นที่จุดเกิดเหตุภายในกุฏิ และเก็บพยานหลักฐาน โดยมีรูปเจ้าอาวาสวัดม่วง ชี้จุดที่เก็บเงินสดและทองคำ ต่อมาทางพนักงานสอบสวนได้สอบปากคำเจ้าอาวาสวัดม่วงในฐานะผู้กล่าวหา กระทั่งพบว่าคำให้การของเจ้าอาวาสวัดม่วง มีการปกปิด ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงกับข้อมูลที่เจ้าหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐานไว้ได้
สยบลือ! ตำรวจยันยังไม่ออกหมายเรียก ‘เจ้าอาวาสวัดม่วง’ รับทราบข้อกล่าวหา
กล่าวคือ เมื่อวันที่ 18 เม.ย. 68 เจ้าอาวาสวัดม่วง และนายศักดา ไวยาวัจกร ได้นำทองคำหนัก 170 บาทไปขายที่ บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง คอมโมดิทัช จำกัด (ร้านทอง) ย่านเยาวราช กทม. โดยนายศักดา เป็นผู้ทำธุรกรรมแทนเจ้าอาวาส แบ่งเป็นทองคำของเจ้าอาวาสหนัก 120 บาท (ทองแท่งหนัก 50 บาท 2 แท่ง และทองหนัก 20 บาท 1 แท่ง) ซึ่งทางเจ้าอาวาสวัดม่วง ยังไม่เคยให้การในประเด็นนี้กับทางพนักงานสอบสวน ซึ่งขัดแย้งกับข้อเท็จจริง ที่เคยแจ้งความไว้ในคดีนี้ครั้งแรกว่า เงินสดและทองคำดังกล่าว ที่อ้างว่าหายไปนั้นจะเก็บไว้เพื่อใช้จ่ายการก่อสร้างและกิจกรรมภายในวัด หรือซื้อทองคำแท่งมาเพื่อเกร็งกำไรไว้นำไปใช้จ่ายในวัด
นอกจากนี้ชุดสืบสวนได้พบข้อมูลจากโทรศัพท์ของนายศักดา มีภาพการขายทองคำแท่งหนัก 170 บาท เช็คเงินสดของธนาคารแห่งหนึ่ง ของบริษัท ฮั่วเซ่งเฮงฯ สั่งจ่ายนายศักดา และภาพถ่ายวีดีโอ จากมือถือนายศักดา นำเงินสดที่ถอนจากธนาคารจำนวนกว่า 5.2 ล้าน ใส่กระเป๋าเดินทางส่งให้กับเจ้าอาวาสวัดม่วง และภาพคลิปวีดีโอขณะเจ้าอาวาสวัดม่วงนั่งนับเงินสดดังกล่าว
หลังจากพบมีหลักฐานดังกล่าวเจ้าหน้าที่จึงเรียกให้นายศักดาไปสอบปากคำ แต่นายศักดา ก็ยังยืนยันว่าไม่ได้นำทองคำที่แจ้งหายดังกล่าวไปขาย จึงเข้าข่ายข้อความอันเป็นเท็จ ประกอบกับ ทรัพย์สินที่แจ้งว่าถูกลักทรัพย์นั้นมีจำนวนมาก เก็บไว้ในห้องที่เกิดเหตุมีกล้องวงจรปิดบันทึกตลอดเวลาแต่เจ้าอาวาสวัดม่วงกลับนำวัสดุมาปิดหน้ากล้อง อันเป็นการผิดวิสัยของวิญญูชน และได้มีพระนิทัศน์ ประเสริฐ ได้เข้ามาพบพนักงานสอบสวนช่วยแจ้งความร้องทุกข์ ดำเนินคดีกับเจ้าอาวาสวัดม่วง และนายศักดา ในเรื่องแจ้งความและให้การอันเป็นเท็จ เพื่อดำเนินคดี.