กลไก JBC-GBC-RBC แก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ยังใช้ได้หรือไม่?
กลไก JBC-GBC-RBC แก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ยังใช้ได้หรือไม่?
เหตุปะทะบริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นมา ไม่เพียงแต่ทำให้เกิดความตึงเครียดระหว่างกองกำลังไทย-กัมพูชาเท่านั้น หากแต่ยังกระตุ้นกระแสในโลกออนไลน์ของประชาชนทั้งสองประเทศอย่างกว้างขวาง
ท่ามกลางเสียงปืนที่ดังต่อเนื่อง 5 วันบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา และแรงกดดันจากการประกาศไม่เจรจาภาษีของประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์
28 กรกฎาคม นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรีของไทยและนายฮุน มาแณต นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา เผชิญหน้ากันเป็นครั้งแรกบนโต๊ะเจรจา ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ภายใต้การอำนวยความสะดวกของนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ในฐานะประธานอาเซียน การประชุมนัดพิเศษครั้งนี้ นำมาสู่ข้อตกลง "หยุดยิง และไม่มีเงื่อนไข" ซึ่งถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการยุติการสู้รบที่สร้างความสูญเสียอย่างหนัก พร้อมปูทางไปสู่การฟื้นฟูความสัมพันธ์ผ่านกลไกทางการทหารที่มีอยู่ ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับชาติ ท่ามกลางสายตาของมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ และจีนที่เข้ามามีส่วนร่วมอย่างแข็งขัน
หลายฝ่ายเรียกร้องให้มีการ “ใช้กลไกความร่วมมือชายแดน” ที่เคยมีอยู่แล้วอย่าง JBC, GBC และ RBC เพื่อยับยั้งความรุนแรงและหาทางออกด้วยสันติวิธีคำถามคือ: กลไกเหล่านี้ยังใช้ได้ผลในบริบทปัจจุบันหรือไม่?
กลไกเจรจาชายแดน 3 ชั้น: JBC – GBC – RBC
เพื่อความเข้าใจในเชิงโครงสร้าง กลไกชายแดนไทย-กัมพูชามี 3 ระดับ ได้แก่
- JBC (Joint Boundary Commission) กลไกระดับสูงสุด จัดตั้งเมื่อปี 2540 เพื่อเจรจาและกำหนดเขตแดนถาวรอย่างเป็นทางการ มีลักษณะเป็น “คณะกรรมาธิการร่วมทางการทูต” เน้นเรื่อง “แผนที่ – เส้นเขตแดน” และเป็นกลไกหลักในการตีความข้อตกลงชายแดนที่เกี่ยวข้องกับข้อพิพาทเชิงหลักการ เช่น กรณีปราสาทพระวิหาร
- GBC (General Border Committee) กลไกระดับนโยบายฝ่ายทหาร เกิดขึ้นจากข้อตกลงปี 2538 เป็นกลไกทวิภาคีฝ่ายทหารระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งมีกำหนดจัดประชุมทุกปีโดยสลับกันเป็นเจ้าภาพ ทำหน้าที่ หารือความมั่นคงชายแดนแบบกว้าง ทั้งความร่วมมือด้านความปลอดภัย การค้า การค้ามนุษย์ และการจัดระเบียบชายแดน โดยมี รมว.กลาโหมของทั้งสองฝ่ายเป็นประธานร่วม
- RBC (Regional Border Committee) กลไกระดับภูมิภาคฝ่ายทหารที่เน้น “การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในพื้นที่” โดยตรง เช่น กรณีการรุกล้ำ หรือการปะทะเฉพาะจุด มีการแบ่งโซนรับผิดชอบระหว่างกองทัพภาคของไทย และภูมิภาคทหารของกัมพูชา ครอบคลุมพื้นที่ชายแดนในภาคอีสานและภาคตะวันออก
กลไกทวิภาคีฝ่ายทหารระดับแม่ทัพภาค แบ่งออกเป็น 3 คณะกรรมการได้แก่
- ด้านกองทัพภาคที่ 2 กับภูมิภาคทหารที่ 4 ของกัมพูชา ดูแลชายแดนด้านภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนใต้ (อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์)
- ด้านกองทัพภาคที่ 1 กับภูมิภาคทหารที่ 5 ของกัมพูชา ดูแลชายแดนด้านภาคตะวันออกตอนบน (สระแก้ว)
- ด้านกองบัญชาการป้องกันชายแดนด้านจันทบุรีและตราด (กปช. จต.) กับภูมิภาคทหารที่ 3 ดูแลชายแดนด้านภาคตะวันออกตอนล่าง (จันทบุรีและตราด)
จุดแข็งของกลไก JBC-GBC-RBC: “วางระบบไว้ดี”
- เป็นเวทีทางการ-ทวิภาคี: กลไกทั้งสามจัดตั้งขึ้นโดยความเห็นชอบร่วมของรัฐบาลทั้งสองประเทศ มีเอกสารและกรอบข้อตกลงรองรับอย่างเป็นทางการ
- เน้นสันติวิธี: เปิดพื้นที่เจรจาในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับแม่ทัพภาคจนถึงรัฐมนตรีและนักการทูต
- เชื่อมโยงกันเป็นระบบ: RBC แก้ปัญหาเฉพาะหน้า → GBC หารือนโยบายในภาพรวม → JBC วางกรอบถาวรเรื่องเขตแดน
จุดอ่อน “ระบบดี แต่กลไกติดขัด”
- หยุดชะงักจากบริบทการเมือง กลไก JBC ไม่ได้ประชุมอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมา เนื่องจากผลกระทบจากคดีปราสาทพระวิหารในศาลโลก และสถานการณ์การเมืองภายในทั้งสองประเทศ ทำให้การตีความแผนที่และแนวเขตแดนหยุดชะงัก
- GBC-RBC มีบทบาทจำกัดในวิกฤต แม้ GBC และ RBC จะยังมีการหารือและปฏิบัติการร่วมกันบ้างเป็นครั้งคราว แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ตึงเครียดหรือปะทะ กลไกเหล่านี้มักใช้ไม่ทันการณ์ หรือไม่สามารถแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างได้
- ขาดการสื่อสารต่อสาธารณะ แม้จะมีความร่วมมือเกิดขึ้นจริงในระดับพื้นที่ แต่ประชาชนแทบไม่รับรู้ถึงผลลัพธ์หรือการประชุมของกลไกเหล่านี้ ทำให้เกิดความรู้สึกว่า “รัฐไม่มีอะไรจะเสนอ” ในยามเกิดเหตุ
กลไล… JBC-GBC-RBC ยังไหวไหม?
คำตอบแบบตรงไปตรงมา คือ “ไหว…ถ้าทางฝ่ายกัมพูชามีความจริงใจ”
แม้กลไกจะวางโครงสร้างไว้อย่างดี แต่ถ้ารัฐบาลของทั้งสองประเทศไม่มีความพยายามอย่างจริงจังในการผลักดันให้กลไกกลับมาทำงานอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในระดับ JBC ที่มีความอ่อนไหวทางการเมืองสูง ระบบทั้งหมดก็จะกลายเป็นเพียง “กลไกบนกระดาษ” ที่ใช้อ้างได้แต่ใช้จริงไม่ได้
สิ่งที่จำเป็นในวันนี้คือ:
- การรื้อฟื้นการประชุม JBC อย่างต่อเนื่องและจริงจัง
- การปรับโครงสร้าง GBC-RBC ให้มีระบบเตือนภัยล่วงหน้าและกลไกปฏิบัติการเร็วในระดับพื้นที่
- การสร้างความเข้าใจกับประชาชนของทั้งสองประเทศว่า ชายแดนไม่ใช่พื้นที่แห่งความขัดแย้ง แต่คือเส้นแห่งความร่วมมือ
“จากเส้นเขตแดน สู่เส้นแบ่งใจคน”
กลไก JBC-GBC-RBC เป็นเสาหลักที่ยังคงมีความจำเป็นต่อการรักษาสันติภาพตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา แต่จะใช้ได้จริงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความกล้าหาญของผู้นำทั้งสองประเทศในการวาง “สันติวิธี” เหนือ “ความรู้สึกทางชาตินิยม”
แม้เงื่อนไขจากการประชุมนัดพิเศษครั้งนี้ นำมาสู่ข้อตกลง "หยุดยิง อย่างไม่มีเงื่อนไข" ครบกำหนดหยุดยิงเมื่อเวลา เที่ยงคืนที่ผ่านมา (29 มิ.ย.68)จากการรายงานข่าวของสื่อไทย เสียงปืนที่เส้นเขตแดนไทย-กัมพูชา ยังไม่สงบลง
ในโลกที่การยิงปืน 1 นัดอาจลุกลามเป็นสงครามข้อมูล การพูดคุยกันก่อนผ่านกลไกเหล่านี้ จึงอาจสำคัญกว่าการเสริมกำลังพล “เพราะในทุก ๆ สงครามจบได้บนโต๊ะเจรจา”
ที่มา : LIRT : คลังสารสนเทศของสถาบันนิติบัญญัติ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร