"อภิสิทธิ์" ร่วม "ผ่าทางตันประเทศ" ชี้ การเมืองไทย ยังไม่ถึงทางตัน
23 ก.ค. 2568 เมื่อเวลา 18.30 น. ที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพ ห้องบอลรูม "นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ"อดีตนายกรัฐมนตรี ร่วมพูดคุย ผ่านรายการพิเศษ "Exclusive Talk : ผ่าทางตันประเทศไทย" กับ 3 บก. สมชาย มีเสน รองประธานกรรมการ บริษัท เนชั่น กรุ๊ป (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน), บากบั่น บุญเลิศ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท เนชั่น กรุ๊ป (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) และประธานกรรมการ บริษัท ฐานเศรษฐกิจ มัลติมีเดีย จำกัด, วีระศักดิ์ พงศ์อักษร บรรณาธิการอำนวยการเครือเนชั่น
พิธีกรถามว่า ผ่านรัฐประหารมา 3 ครั้ง มีม็อบใหญ่ 5 ครั้ง บรรยากาศการเมือง ประเทศถึงทางตันหรือยัง? นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คิดว่าคงเป็นกรณีที่ระบบไม่มีทางออก แต่มีกรณีศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาเรื่องนายกฯ พรรคการเมืองบางพรรคมีคดี แต่ทั้งหมดยังอยู่ภายใต้กติกาของรัฐธรรมนูญ การตัดสินของนายกฯ จะออกมาอย่างไร ก็ยังไม่ถึงทางตัน ยังไม่เห็นอาการของพรรคไหน ไม่อยากเป็นรัฐบาล ถามว่าไปได้ไหม ไปได้ แต่จะไปได้ไกลไหม อีกเรื่อง
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ประเทศถูกรุมเร้าด้วยปัจจัยหลายอย่าง การเมืองที่จะมาแก้ปัญหา ต้องเป็นการเมืองที่เข้มแข็ง โครงสร้างของรัฐบาลในปัจจุบัน แก้ยาก ทางที่ดีไม่ควรหันไปหาการเปลี่ยนแปลงนอกระบบ หากสถานการณ์เป็นแบบนี้ เขาก็ประคองไป หวังว่าในการเลือกตั้งครั้งต่อไป พรรคการเมือง ประชาชน จะตื่นตัวเรื่องปัญหาใหญ่ของประเทศ แต่ทุกคนยังกังวลกติกา รธน. ปี 2560 แต่อย่างน้อยก็ประคับประคองไป
ถามว่าตัวแปรที่จะทำให้เกิดทางตัน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เลือกไปแล้วเกิดปัญหา จนไม่เหลือใครให้เลือก และพรรคประชาชน พยายามจะเสนอทางออก เขาพร้อมยกมือให้ เป็นรัฐบาลชั่วคราว มองว่าการเดินตามระบบ ยังเดินได้ แต่พรรคเพื่อไทย มีปฏิกิริยารุนแรง มองว่าจะไปเลือกนายอนุทิน ชาญวีรกูล แต่ข้อเท็จจริง ไปรวมกับพรรคประชาชน เสียงไม่พอ จึงกลายเป็นเรื่องเล่นเกมการเมืองมากกว่า แต่หากเสนอแบบนี้ กลับทำให้พรรคเพื่อไทยสบายขึ้น เพราะหากพรรคร่วม ตีตัวออกห่าง ก็จะมีพรรคประชาชน มาโหวตให้
ระยะเวลาปีกว่าๆ ที่เหลืออยู่ หากสามารถประคับประคองให้อยู่ครบเทอม หรือหากมีการยุบสภา เราก็จะไปสู่การเลือกตั้งใหม่ ที่อาจเป็นจุดเริ่มต้นหลายอย่าง
ถามว่าจะผ่าทางตันให้ประเทศ เราต้องยอมรับความเป็นจริง กติกาหลายอย่างในวันนี้ มันมีปัญหา แต่ที่ผ่านมา จุดยืนเกี่ยวกับกติกา มันหาจุดพอดีไม่ได้ และความหวาดระแวงที่แต่ละฝ่ายมีต่อกัน มันเลยเดินไม่ได้
เริ่มจากการเรียกร้อง ต้องตั้ง สสร. แต่สิ่งที่เกิดขึ้น คนที่เคยสนับสนุนแนวคิดนี้ มันลดลงเพราะตอนคดีนายเศรษฐา ทวีสิน ปฏิกิริยาแรก ตั้งคำถามว่า ทำไมศาลมาตัดสินเรื่องพวกนี้ ทำให้ 2 พรรคใหญ่ ฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล เสนอแก้รัฐธรรมนูญ เอาเรื่องจริยธรรมออกไป เจอกระแสสังคมตีกลับ ทำให้ตอนนี้เกิดความหวาดระแวงว่า ที่นักการเมืองอยากแก้รัฐธรรมนูญ เพราะไม่อยากมีกรอบและข้อจำกัดให้ตนเอง
ถามว่าเห็นด้วยหรือไม่ที่ให้บทบาทศาลรัฐธรรมนูญมากขนาดนี้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การให้ศาลมาชี้เรื่องจริยธรรม มันผิดฝาผิดตัว การตีความจริยธรรม เป็นเรื่องไม่ง่าย ขณะเดียวกัน หลักเกณฑ์การพิจารณาของศาล จะคิดถึงเรื่องพยานหลักฐาน ปราศจากข้อสงสัย แต่สิ่งที่เราต้องการจริงๆ คือการรับผิดชอบทางการเมือง หมายความว่าคนละมาตรฐานกับความรับผิดชอบทางการเมือง "อยากผ่าทางตันประเทศ ต้องเรียนรู้จากอดีต ว่าทำไมเรื่องนี้มาอยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญ"
"ถ้าอยากผ่าทางตันพรรคการเมืองต้องเปิดใจเข้าหากัน เชิญทุกฝ่ายมาพูดคุย ว่ารัฐธรรมนูญที่จะแก้ เข้าต้องการอะไร ส่วนประเด็นที่ว่า พรรคการเมืองไม่ยอมแก้ เพราะได้ประโยชน์ ตนมองว่า มันอาจได้บางสถานการณ์ บางกระบวนการ แต่ดูท่าจะไม่รอดสักพรรค"
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ประเทศไทยเราผ่าทางตันไม่ได้ ถ้าเราไม่ยอมมาหาฉันทามติ เรื่องที่เป็นพื้นฐานที่สุดของสังคม เดิมเราหวังว่าหากมี สสร. ก็ใช้กระบวนการนั้น แต่ตอนนี้เกิดความหวาดระแวงอีกว่า สสร. จะเป็นอิสระจากพรรคการเมืองหรือไม่ ซึ่งมันมีทางแก้ เช่น "กำหนดขอบเขต รธน." ที่จะร่าง แม้แต่หมวด 1 หมวด 2 แก้ให้ดีขึ้นก็ได้ แต่คนที่เรียกร้องให้แก้ ไม่เคยพูดให้ชัด ตนยังไม่รู้เลย ว่าเขาจะแก้อะไร
หรือการแก้ รธน. รายมาตรา จะแก้เกือบทุกมาตราก็ได้ จะได้เห็นอย่างโปร่งใส ที่กำลังแก้ อ้างว่าดีขึ้น มันต้องปรากฏอยู่ในร่างฯ สภาพิจารณา และการแก้ส่วนนี้ มันเกี่ยวข้องกับที่รัฐธรรมนูญบังคับ ว่าต้องไปทำประชามติ อย่างน้อยก็มีหลักประกันว่า ประชาชนจะเห็นชอบ หรือไม่เห็นชอบ "ทุกเรื่องมีทางออก แต่เราไม่ยอมเปิดใจมาคุยกัน ต่างฝ่ายต่างยึดมั่นถือมั่น"
นายอภิสิทธิ์ สรุปเรื่องรัฐธรรมนูญว่า ถ้ามี สสร. ต้องมี TOR (กำหนดขอบเขต รธน.) แต่ถ้าไม่ไปเส้นทางนั้น ก็แก้รายมาตรา แต่ทำให้โปร่งใส
พิธีกรถามว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ ทำให้เกิดอาชีพนักร้อง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนไม่คิดแบบนั้น ถ้าเรื่องมันไร้สาระจริงๆ ไม่เชื่อว่าจะไปได้สุดทาง
เมื่อถามว่า การเคลื่อนไหวของนายทักษิณ ชินวัตร เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดทางตันหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คุณทักษิณ ในฐานะอดีตนายกฯ และพ่อนายกฯ ทำหน้าที่อยู่ในขอบเขต ให้คำปรึกษาได้ แต่ภาษาที่ใช้มันไม่ใช่ขอบเขตที่เหมาะสม ไม่รู้กี่เหตุการณ์ที่บ่งบอกอะไรบางอย่าง แต่ยังทันที่จะถอนตัว ถ้าเป็นไปได้ก็อย่าสร้างเรื่องใหม่ และถ้าตนมีเสมียนแบบนี้ ไล่ออกไปนานแล้ว เพราะทำงานเกินขอบเขต
ย้อนเล่าบรรยากาศ รัฐประหารปี 57 แก้ปัญหาระยะยาวไม่ได้
พิธีกรถามว่า ในฐานะที่ผ่านการรัฐประหารมาถึง 3 ครั้ง จะมีโอกาสเกิดรัฐประหารหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่มีใครกล้าไปยืนยันหรอก ยิ่งคนที่มีอำนาจมาบอกว่าไม่ทำ แต่ทำทุกครั้ง อยากให้ทุกคนทบทวนอดีต ว่ารัฐประหารแต่ละครั้ง อย่างเก่งที่สุดแก้ปัญหาความวุ่นวายเฉพาะหน้า แต่สุดท้ายแก้ปัญหาให้ประเทศระยะยาวไม่ได้ แถมยังทิ้งบาดแผลมรดก ในรูปของกฎ กติกา รัฐธรรมนูญปัจจุบัน ที่ยาวนานมาเกือบ 9 ปี
"ปฏิวัติ 2 ครั้งที่ผ่านมา อารมณ์ที่ผมจับได้ คือความโล่งใจ มันจบสักที ถ้าไม่อยากให้ไปถึงจุดนั้น ผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะนักการเมือง ต้องรีบหาทางออกที่จะทำให้สังคมเดินได้ อย่าให้เกิดทางตัน"
นายอภิสิทธิ์ ยกตัวอย่างการรัฐประหารครั้งสุดท้าย ปี 2557 ตนอยู่ในห้องด้วย พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ กกต. สว. นปช. และกปปส. ถูกเชิญไปหอประชุมกองทัพบก พูดคุยกันวันแรก ตกลงไม่ได้ วันที่ 2 เริ่มรู้แล้ว เพราะโดนยึดโทรศัพท์มือถือ ตั้งแต่ก่อนเข้าไป สัญญาณที่ 2 ตนแกล้งบอกว่า ฝ่ายตนไม่มีปัญหา ที่เหลือว่าอย่างไร ก็เอาด้วย ตนขอกลับบ้าน แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา บอกว่ากลับไม่ได้ ทำให้รู้ทันทีว่าวันนี้คงไม่ได้กลับ
ประเด็นคือ วันนั้นมีความพยายามจะหาคำตอบกัน สิ่งที่ตนพยายามเสนอ ประเทศที่เป็นประชาธิปไตย เวลาเกิดทางตัน พรรคการเมืองจะมาตกลงกันว่า มีอะไรชั่วคราว ที่ทุกฝ่ายยอมรับกันได้ และกลับไปสู่การเลือกตั้ง ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ ทุกฝ่ายต้องยินยอม ฝ่ายที่มีอำนาจต้องลาออก แต่เขาไม่ออก สุดท้าย พล.อ.ประยุทธ์ ถามย้ำว่า กกต. ทำอะไรไม่ได้ใช่ไหม งั้นผมยึดอำนาจ
มองคลิปเสียง คือตัวแปร
เมื่อถามถึงตัวแปรที่จะไปถึงจุดนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เรื่องคลิปเสียง หากวันแรก หรือวันถัดมา นายกฯ ขอลาออก แล้วพรรคร่วมไปคุยกัน จะเลือกกลับเข้ามา หรือเลือกนายชัยเกษม นิติศิริ ก็ทำได้ วันนี้มันเลยกลายเป็นเรื่องแปลกประหลาด ขณะที่ประเทศมีปัญหาชายแดนแบบนี้ เราพร้อมที่จะมีนายกฯ ที่ปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้ ปรับ ครม. ไม่มี รมว.กลาโหม คล้ายกับเป็นสุญญากาศ จริงๆ หากลาออกเร็ว ปัญหานั้นจะกลายเป็นเรื่องเฉพาะตัว แต่วันนี้เป็นเรื่องของพรรคเพื่อไทย พรรคร่วมรัฐบาลที่ไม่ยอมถอนตัว
พิธีกรถามถึงประเด็นความขัดแย้งไทย-กัมพูชา นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ฝ่ายไทยแทบไม่พูดอะไรเลย มีแต่กัมพูชาพูดตลอด แล้วไปเกิดเหตุช่วงชิงจิตวิทยา ขนคนไปเที่ยว ถ้าจะผ่าทางตันเรื่องนี้ ต้องมีกระบวนการทางการเมือง กัมพูชา ที่มีความพยายามยั่วยุ เพราะต้องการสร้างความชอบธรรม การไปศาลโลก ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศ และรัฐบาล ยังทำความเข้าใจกับต่างประเทศน้อยเกินไป ว่าที่มาความขัดแย้งมาจากอะไร
ส่วนกองทัพ เขาอยู่ในพื้นที่ มีคนรุกล้ำเข้ามา หน้าที่เขาต้องตัดสินใจ ถ้าไม่อยากให้เขาไปทำอะไรแบบนั้น ฝ่ายการเมืองต้องดำเนินการทางการทูต การต่างประเทศ หรืออื่นๆ ซึ่งตอนนี้ยังไม่เห็นว่าทำอะไร
ชุมนุม 28 มิถุนายน 2568 เชื่อไม่มีใครเรียกร้องรัฐประหาร
นายอภิสิธิ์ กล่าวว่า เป็นการชุมนุมครั้งแรก ที่ไม่มีฐานพรรคการเมืองไหน เข้าไปสนับสนุนโดยธรรมชาติ เพื่อไปแสดงว่าไม่พอใจเรื่องคลิปเสียง ส่วนที่มีการตีความให้มีรัฐบาล ตนมองว่า นายสนธิ ลิ้มทองกุล ไม่ได้เชื้อเชิญ แต่พยายามจะบอกว่า หากทหารจะทำอะไร อย่าเอา พล.อ. มาเป็นนายกฯ อีก มันไม่ใช่สาระสำคัญของการชุมนุม เพราะการชุมนุมมีแค่ 3 ข้อเรียกร้อง
แนะแนวทางแก้ปัญหาเศรษฐกิจ
ถามว่าปัญหาเศรษฐกิจจะแก้อย่างไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ภัยเฉพาะหน้า อย่างเช่น นักท่องเที่ยวจีนหาย อาจจะเป็นปัญหา เราควรสรุปได้ชัดเจนแล้ว ต้องเข้าให้ถึงแก่นของปัญหา ที่ฝ่ายจีนมีความรู้สึกว่าคนของเขา ยังไม่ควรจะมาเมืองไทย ทำไปถึงมาตรฐานที่จีนมั่นใจหรือยัง และเวลาเกิดปัญหา มักชี้ว่า "จีนเทา" ถามว่าจีนจะเท่าได้ไหม ถ้าไทยไม่เทาด้วย ตนเชื่อว่าประเด็นนี้เขารู้สึก
ส่วนประเด็นภาษีทรัมพ์ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เนื่องจากเวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ให้เขาไปหมดแล้ว แต่ดีที่สุดคือ ได้ลดเหลือ 19% วันนี้ตนเห็นใจรัฐบาล แต่รัฐบาลไม่เคยพูดกับประชาชน ว่าถ้ายอมเพื่อให้ได้ 20% ใครได้อะไรบ้าง หากทำไม่ได้ กระทบใคร ควรมีแผนออกมา ซึ่งตนมองว่าแต่ละประเทศ ไม่ได้มีหลักเกณฑ์อะไร อยู่ที่ทรัมพ์มากกว่า