กมธ.ทหาร จัดเสวนาข้อพิพาท ไทย-กัมพูชา
สำนักข่าวไทย Online
อัพเดต 5 กรกฎาคม 2568 เวลา 22.16 น. • เผยแพร่ 4 ชั่วโมงที่ผ่านมา • สำนักข่าวไทย อสมทรัฐสภา 5 ก.ค.-กมธ.ทหาร จัดเสวนาข้อพิพาท ไทย-กัมพูชา บอกปัญหาสองประเทศยังไม่ทราบสาเหตุคืออะไร จนมีคลิปเสียงความอับอายระดับชาติออกมา สะท้อนไทยไร้เดียงสาทางการเทือง มองมาตรการชายแดนไม่สอดคล้อง ทำประชาชนเดือดร้อน ระบุการปักปันเขตแดนต้องใช้วิธีเจรจา พร้อมดึงนานาชาติร่วมมือกดดันแบล็กลิสต์ แฉเจ้าของบริษัทฟอกเงินรายใหญ่เอี่ยว “ฮุนเซน”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรรมาธิการการทหาร จัดสัมมนาภายใต้หัวข้อ “การใช้กลไกการปราบปรามการฟอกเงิน ในการแก้ไขปัญหาความมั่นคง : กรณีศึกษา ข้อพิพาทไทย-กัมพูชา“ โดยมี นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานกรรมาธิการฯ นายชยพล สท้อนดี โฆษกกรรมาธิการฯ พันตำรวจเอก สีหนาท ประยูรรัตน์ อดีตเลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. และ นายสุภลักษณ์ กาญจนขุนดี นักวิชาการอิสระ เป็นวิทยากร
นายวิโรจน์ กล่าวเปิดการสัมมนาเกี่ยวกับการปราบปรามการฟอกเงิน ว่าปัจจุบันการโอนเงินสามารถทำได้ผ่านโมบายแบงกิ้งค์หมดแล้ว แต่สาเหตุที่สมัยก่อนเราต้องการกดดันให้มีการเปิด-ปิดด่าน เนื่องจากเราทราบว่าผู้มีอิทธิพลอีกฝั่งได้รับผลประโยชน์จากการขนถ่ายสินค้าหนีภาษี ฉะนั้นวันนี้เราไม่จำเป็นต้องทำมาตรการเผาบ้าน เพื่อจับหนูตัวเดียวอีกแล้ว เพราะเรามีเลเซอร์ที่ยิงปุ๊บหนูตายปั๊บ จึงไม่ต้องทำแบบนั้น
จากนั้น พันตำรวจเอก สีหนาท ได้บรรยายถึงอาชญากรรมรูปแบบใหม่ ว่าคือการขึ้นบัญชีดำ ซึ่งถ้าประเทศใดอนุญาตให้กลุ่มมิจฉาชีพ หรือ ไม่มีมาตรการป้องกันปราบปรามที่เข้มแข็งก็จะถูกโลกล้อมประเทศนั้น ส่งผลให้การทำธุรกรรมลำบากและจะกลายเป็นระเบิดทางเศรษฐกิจ ซึ่งมีการกำหนดค่าประเทศที่มีความเสี่ยงสูงไว้ 3 ประเทศ ประกอบด้วย อิหร่าน เกาหลีเหนือ และกัมพูชา ที่ห้ามทำธุรกรรมการเงิน โดยหากทำจะถูกอายัด หรือ ยึดทรัพย์สินได้
พร้อมกล่าวต่อว่า กัมพูชาก็เคยถูกขึ้นบัญชีจนพ้นจากบัญชีเทาในปี 2023 ซึ่งตนก็เคยเข้าไปช่วยเหลือกัมพูชา ดังนั้นตนเชื่อมั่นว่าถ้าหน่วยงานของไทยและประเทศต่างๆ ที่ต้องการปราบปรามการกระทำผิดที่ใช้ประเทศใดประเทศหนึ่งเป็นศูนย์กลางร่วมมือกันจะสามารถปราบปรามได้ เพราะถ้าไม่ได้รับความร่วมมือก็จะถูกแบล็คลิสต์ และมีผลกระทบต่อไทยอย่างรุนแรง
ด้าน นายสุภลักษณ์ ระบุว่า ตนไม่เห็นด้วยที่จะใช้มาตรการทางทหารตอบโต้ระหว่างกัน เพราะจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อประชาชนที่อยู่ตามแนวชายแดนบาดเจ็บล้มตาย ซึ่งตนก็มีบ้านอยู่เขาพระวิหาร จ.ศรีษะเกษ เห็นว่าเหตุการณ์เมื่อปี 2554 มีการปะทะกัน ทำให้เพื่อนบ้านตนเสียชีวิต 1 คน อย่างไรก็ตาม ผ่านไปแล้ว 10 ปี ตนก็ยังไม่ได้คำตอบว่าเสียชีวิตไปทำไม เราได้ปราสาทพระวิหารมาหรือไม่ สูญเสียทั้งความสัมพันธ์ ชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สิน เพื่อแลกกับคำว่าอำนาจอธิปไตยและความรักชาติ
ขณะที่ เหตุการณ์ที่ช่องบก เรื่อง 3 ปราสาทตามแนวชายแดน และการปรับเวลาเปิด-ปิดด่าน ก็ทำให้เกิดการปลุกกระแสต่อประชาชนทั้งสองประเทศ ส่วนการที่นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่แล้วถามเจ้าหน้าที่ว่ามีปัญหาอะไรหรือไม่ ก็ทำให้กัมพูชาจับจุดได้ว่าไทยมีปัญหาจนนำไปสู่ปัญหาปมคลิปเสียง ซึ่งสร้างความน่าอับอายระดับชาติ เพราะแสดงให้เห็นถึงความไร้เดียงสาทางการเมืองของฝ่ายไทย จากนั้นรัฐบาลจึงได้ให้อำนาจกับกองทัพในการซีลชายแดนตลอดแนว ทั้งที่เกิดเหตุที่ จ.อุบลราชธานี และนำไปสู่การปิดด่าน ซึ่งจนถึงขณะนี้ตนก็ยังไม่เข้าใจว่า ตกลงเราทะเลาะกับกัมพูชาเรื่องอะไร เป็นเพราะว่าวาทกรรมหรือคำอธิบายที่ไม่ชัดเจนไม่สอดคล้องสะเปะสะปะใช่หรือไม่ ในขณะที่ทหารบอกว่าควบคุมชายแดนอย่างเข้มข้นเป็นมาตรการทางยุทธวิธี เพื่อกดดันฝ่ายตรงข้ามที่มีการปรับกำลังตามแนวชายแดน รวมถึงกดดันแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่ก็ยังไม่มีมาตรการที่สอดคล้องกับเป้าหมาย ทำให้ประชาชนที่อยู่ตามแนวชายแดนได้รับความเดือดร้อน เพราะไทยค้าขายกับกัมพูชามีมูลค่า 3 แสนล้านต่อปี เฉพาะชายแดน 60% คิดเป็นมูลค่า 1.7 แสนล้านบาท จึงมองว่ามาตรการของไทยเป็นการเหวี่ยงแหแบบซุ่มซ่าม แทนที่จะปรับตัวกับภัยคุกคาม อยากให้ตรวจสอบว่าอธิปไตยของไทยมีอยู่จริงหรือไม่
เช่นเดียวกับปัญหาการปักปันเขตแดนก็ใช้วิธีทางทหารไม่ได้ ต้องใช้วิธีการเจรจาผ่านกลไกคณะกรรมการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือ เจบีซี ฉะนั้นการแก้ไขปัญหาเราควรใช้สไนเปอร์ยิง เพราะแม่นยำและชัดเจนกว่าในการชี้เป้าว่ากัมพูชามี Huione group Cambodia ซึ่งเป็นบริษัทฟอกเงินที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในกรุงพนมเปญ และถูกกระทรวงการคลังของสหรัฐฯขึ้นบัญชีดำ ว่ามีการฟอกเงินมากถึง 4 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ อีกทั้งยังมีเงินต้องสงสัยกว่า 37 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ นอกจากนี้ ยังเชื่อมโยงกับการขายข้อมูลส่วนบุคคลขนาดใหญ่ แฮกข้อมูลไปที่เกาหลีเหนือ และที่สำคัญเจ้าของบริษัทก็เป็นที่ปรึกษาสมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชาด้วย ดังนั้นถ้าสร้างแรงกดดันต่อรัฐบาลกัมพูชาในเวทีนานาชาติก็จะทำให้กระทบกับเศรษฐกิจของตระกูลสมเด็จฮุนเซน
ส่วนมาตรการของไทยในการไม่ขายสินค้าให้กัมพูชาก็ไม่ได้ผล เพราะไม่กระทบกัมพูชา จึงขอเสนอว่าหากประเทศไทยจะออกมาตรการรับมือกับกัมพูชาต้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำการบ้านและหาข้อมูลว่ามีธุรกรรมใดๆที่เกี่ยวกับคอลเซ็นเตอร์ของกัมพูชาผ่านเข้ามาในประเทศไทยบ้างหรือไม่ เสร็จแล้วก็ค่อยหาแนวทางปฏิบัติต่อ เพราะบริษัท Huione group Cambodia ถือเป็นผู้ร้ายเบอร์หนึ่งของโลกและในเอเชียปัจจุบัน
นายสุภลักษณ์ ยืนยันว่าที่พูดมาทั้งหมดนี้ ตนมีเจตนาบริสุทธิ์ เพื่อยกระดับมาตรฐานกฎหมายไทยและกัมพูชาตามหลักสากล เพื่อประโยชน์สุขของทั้งสองประเทศ ประเทศอื่นๆในภูมิภาค รวมทั้งชาวโลก เพื่อที่ประชาชนทุกคนจะได้ไม่ต้องกังวลว่าทรัพย์สินของเราจะถูกดูดเข้าไป หรือ ถูกใครหลอก.-315.-สำนักข่าวไทย