ทักษิณ ประกาศกร้าว “จบสิ้นแล้ว” สัมพันธ์ 33 ปี “ฮุนเซน” แฉถูกวางกับดักอัดคลิปเสียง
นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เปิดใจผ่านกิจกรรม “55 ปี NATION ผ่าทางตันประเทศไทย Exclusive Talk กับ 3 ผู้นำทางความคิด” ซึ่งจัดโดยเครือเนชั่น ถึงประเด็นสถานการณ์ความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชา ที่ตึงเครียดในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โดยเปิดเผยว่า ตนรู้สึก “ช็อก” ต่อพฤติกรรมของสมเด็จฮุนเซน ผู้นำกัมพูชา ซึ่งเคยมีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นตลอด 33 ปีที่ผ่านมา แต่กลับเกิดเหตุการณ์ที่ลูกสาวคือนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ถูกวางกับดักให้รับสายสนทนาโดยลำพัง จนนำไปสู่การบันทึกเสียงและเผยแพร่คลิปเสียงในเวลาต่อมา
โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่างการเดินทางของนายกรัฐมนตรีแพทองธารไปพบผู้นำกัมพูชา โดยมีรัฐมนตรีร่วมคณะ อาทิ นายภูมิธรรม เวชยชัย และรัฐมนตรีต่างประเทศ อยู่ร่วมด้วย แต่กลับถูกปล่อยให้รอการติดต่อกว่า 3 ชั่วโมง ก่อนที่ฝ่ายกัมพูชาจะโทรศัพท์กลับมาในช่วงที่นายกรัฐมนตรีอยู่เพียงลำพัง จนนำไปสู่การเผยแพร่คลิปเสียงที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความร้าวฉานทางการทูต
นานทักษิณ เปิดเผยว่า เหตุการณ์นี้ “ไม่ใช่แค่ทำลายไทย แต่ยังทำลายความน่าเชื่อถือของกัมพูชาเอง” และตั้งข้อสังเกตว่าอาจมีผู้ให้ข้อมูลฝ่ายตรงข้าม เพื่อจัดฉากให้เกิดการบันทึกและนำคลิปเสียงมาใช้โจมตีรัฐบาลไทยในเวลาต่อมา พร้อมยืนยันว่า ความสัมพันธ์ระหว่างตนกับสมเด็จฮุนเซน “จบสิ้นแล้ว” และไม่สามารถพูดคุยใด ๆ ต่อกันอีก
ในประเด็นความมั่นคง นายทักษิณกล่าวว่า ได้รับรายงานเมื่อเดือนก่อนว่ามีกำลังทหารกัมพูชาจำนวน 12,000 นาย เคลื่อนพลเข้าสู่แนวชายแดน ซึ่งเขามองว่าเป็นภัยคุกคามต่อเสถียรภาพไทยโดยตรง จึงได้สั่งการให้มีการเตรียมความพร้อมทั้งทางอากาศและทางทะเล โดยเฉพาะการประจำการเฮลิคอปเตอร์และเรือที่จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อป้องกันเหตุรุนแรงหากเกิดสถานการณ์ไม่คาดคิด
นอกจากนี้ นายทักษิณยังเชื่อว่า ความตึงเครียดระหว่างสองประเทศ อาจมาจากการเปิดโปงเครือข่าย Call Center ข้ามชาติ ซึ่งมีศูนย์บัญชาการในกัมพูชา และเชื่อมโยงกับการฟอกเงิน ผ่านบริษัทที่ถูกขึ้นบัญชีดำจากสหรัฐฯ โดยมีบุคคลใกล้ชิดผู้นำกัมพูชาเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างชัดเจน
“ผมพูดตั้งแต่ปลายปี 2567 แล้วว่าเศรษฐกิจของกัมพูชาเติบโตจากการดูดเงินคนไทยผ่าน Call Center ซึ่งตอนนี้ตำรวจไทยเริ่มดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องแล้ว รวมถึงคนใกล้ชิดของอดีตผู้นำกัมพูชาด้วย” นายทักษิณกล่าว
เมื่อถูกถามว่าความขัดแย้งในระดับผู้นำส่งผลต่อเสถียรภาพภูมิภาคหรือไม่ นายทักษิณประเมินว่า แม้สถานการณ์ยังไม่ถึงขั้น “ภาวะสงคราม” แต่เป็นความขัดแย้งบริเวณชายแดนที่สุ่มเสี่ยงจะบานปลาย หากไม่มีการสื่อสารอย่างตรงไปตรงมาผ่านเวทีทวิภาคี เช่น JBC หรือ RBC/GBC
“ไทย–กัมพูชา ไม่ได้อยู่ในภาวะประกาศสงคราม เราจึงยังสามารถหาทางออกผ่านการเจรจาได้ หากทั้งสองฝ่ายมีเจตนาดี แต่เมื่ออีกฝ่ายปฏิเสธที่จะเข้าสู่โต๊ะเจรจา ทุกอย่างก็จะยากขึ้น” นายทักษิณกล่าว
นายทักษิณย้ำว่า ในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรี เขา “ยังอยู่” และพร้อมทำหน้าที่ในฐานะพลเมืองที่ห่วงใยบ้านเมือง แม้จะไม่ได้มีตำแหน่งทางการเมืองใด พร้อมเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยึดผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง และหลีกเลี่ยงการใช้กลไกต่างประเทศมาบั่นทอนความมั่นคงของไทย