AI ปั่นข่าวปลอมไทย-กัมพูชาน่าห่วง "ปฐม อินทโรดม" ชี้โอกาสข้อมูลเท็จล้านชุดทำ ChatGPT ตอบเบี้ยว
เปิดมุมมอง "ปฐม อินทโรดม" เตือนภัยสงครามสาดโคลนด้วยข้อมูลปลอมที่สร้างจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ชี้เป็นบรรทัดฐานใหม่ที่ยังไม่แน่ชัดว่าในอนาคต Generative AI อย่าง ChatGPT, Copilot, Gemini และอีกหลายค่ายจะตัดสินความถูกต้องอย่างไรหากมีข้อมูลเท็จล้านล้านชุดจนทำให้ AI วิเคราะห์ว่าข้อมูลที่ซ้ำกันจำนวนมากอาจจะเป็นเรื่องจริง ความไม่แน่นอนที่น่ากังวลนี้อาจทำให้ระบบ Blockchain Provenance ถูกหยิบมาพูดถึงอีกครั้ง ย้ำคนไทยควรสู้ด้วยความจริง คู่กับเรียนรู้เครื่องมือในการตรวจสอบข่าวปลอมให้มากขึ้น พร้อมเรียกร้องให้สื่อกระแสหลักทั่วโลกเข้ามาช่วยตรวจสอบข่าวของสื่อในกัมพูชา
***สงคราม AI ปั่นข่าวปลอม
กรกฏาคม 68 เป็นเดือนที่ชาวโซเชียลได้เห็นภาพ AI ของสมเด็จฮุนเซน ผู้นำกัมพูชาจำนวนมาก และเป็นที่รู้กันว่ากัมพูชาใช้ AI สร้างข่าวปลอมโจมตีประเทศไทยอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน เช่น การกล่าวหาว่าไทยส่งโดรนไปบินในกัมพูชา หรือแม้กระทั่งการนำ AI มาสร้างเป็นภาพผู้สื่อข่าวต่างชาติรายงานข่าวปลอม การกระทำเหล่านี้ได้ก่อให้เกิดความตึงเครียดขึ้นอย่างรวดเร็ว และยังเป็นปรากฏการณ์ครั้งแรกๆ ของโลกที่มีการ "สาดโคลนกันทาง AI" อย่างชัดเจนระหว่างประเทศ
สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจคือ กัมพูชาอาจมีกองทัพที่นำ AI มาใช้ประโยชน์ในการปั่นข้อมูล โดยมีแผนการที่ชัดเจนและใช้ AI สร้างข่าวปลอมจำนวนมาก เป้าหมายหลักของการสร้างข่าวปลอมเหล่านี้อาจอยู่ที่เพื่อปิดหูปิดตาคนในประเทศของตัวเอง โดยมีโอกาสที่จะไม่ได้คาดหวังผลกระทบต่อประชาคมโลกมากนัก แต่หากมีผลพลอยได้ คือมีชาวต่างประเทศหลงเชื่อ ก็ถือเป็นกำไร
นายปฐม อินทโรดม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสวีโอเอ จำกัด (มหาชน) และกรรมการสภาดิจิทัล (DCT) กล่าวถึงประสบการณ์การทำ Social Media Experiment ด้วยการสร้างแอคเคาท์ชื่อภาษากัมพูชา จนได้พบความจริงน่าตกใจว่าคนกัมพูชาถูกกรอกหูด้วยข้อมูลที่บิดเบือนตลอดเวลา ทำให้ถูกหล่อหลอมความคิดให้เกลียดคนไทย และเชื่อว่ากัมพูชาเป็นผู้ถูกกระทำ แม้กระทั่งคนกัมพูชาที่อยู่ต่างประเทศก็ยังคิดแบบเดียวกัน สื่อของรัฐบาลกัมพูชามีการนำภาพและวิดีโอปลอมมาใช้อย่างเป็นล่ำเป็นสัน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในโลกที่สื่อของรัฐบาลกระทำการเช่นนี้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การนำภาพเครื่องบินดับเพลิงจากแคลิฟอร์เนียมาอ้างว่าเป็นเครื่องบินไทยที่ใช้สารเคมี
"ในส่วนประเทศไทย การห้ามคนทั่วไปไม่ให้ตอบโต้กลับไปนั้นเป็นเรื่องยาก แต่การตอบโต้ด้วย "ความจริง" เป็นวิธีที่ดีที่สุดและให้ผลดีในระยะยาว และการแปลข้อมูลจริงเป็นภาษาต่างๆ เพื่อเผยแพร่ออกไปเป็นสิ่งที่ควรทำ แต่การสร้างข่าวปลอมด้วย AI เพื่อตอบโต้กลับไปนั้น ไม่ใช่วิธีที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทย"
ปฐมมองว่าข้อได้เปรียบที่สำคัญของคนไทยคือ "Media Literacy" การรู้ทันสื่อของคนไทยอยู่ในระดับสูง คนไทยสามารถแยกแยะข่าวปลอมที่สร้างจาก AI ได้ และรู้จักการตรวจสอบข่าว รวมถึงมีความน่าเชื่อถือสูงกว่า อย่างไรก็ตาม คนไทยควรเรียนรู้เครื่องมือในการตรวจสอบข่าวปลอมให้มากขึ้น เช่นระบบลายน้ำดิจิทัล (Watermark) และเครื่องมืออื่นๆ ที่ช่วยยืนยันความจริงได้ นอกจากนี้ อาจจำเป็นต้องมีการเรียกร้องให้สื่อกระแสหลักทั่วโลกเข้ามาช่วยตรวจสอบข่าวของสื่อในกัมพูชา
***กระทบยาว ทางออกคือ Blockchain
ปรากฏการณ์การสาดโคลนกันทาง AI นี้ถือเป็น "บรรทัดฐานใหม่" ที่ยังไม่มีใครรู้ว่า AI จะตัดสินหรือประมวลผลข้อมูลในท้ายที่สุดอย่างไร ปฐมมองว่าการที่ข้อมูลเท็จจำนวนมหาศาล (หลักล้านชุด) ถูกนำเสนอซ้ำๆ อาจทำให้แม้แต่ AI อย่าง Chat GPT หรือ Copilot มีโอกาสเชื่อถือข้อมูลที่ซ้ำกันมากๆ ว่าเป็นจริงได้
"ในอนาคตอันใกล้ อาจต้องมีเครื่องมือบางอย่างออกมาเพื่อจัดการกับปัญหาความน่าเชื่อถือของสื่อ หนึ่งในแนวทางที่เป็นไปได้มากคือ Blockchain Provenance แนวคิดนี้คือการสร้างห่วงโซ่ข้อมูลที่เชื่อมโยงกันอย่างโปร่งใส ทำให้สามารถตรวจสอบที่มาของข้อมูลทั้งหมดได้ตั้งแต่ผู้ผลิตไปจนถึงผู้เผยแพร่ เช่นเดียวกับการตรวจสอบแหล่งที่มาของเนื้อวัวจากฟาร์มจนถึงผู้บริโภค หากนำมาใช้กับการข่าว จะสามารถตรวจสอบได้ว่าข่าวมาจากนักข่าวคนไหน สัมภาษณ์ใคร โยงถึงกันหมด และยืนยันแหล่งที่มาที่ชัดเจนได้"
อย่างไรก็ตาม การนำเทคโนโลยีนี้มาใช้อาจต้องอาศัยการร่วมมือจาก "องค์กรสื่อระดับโลก" เนื่องจากแต่ละประเทศอาจไม่ต้องการใช้เครื่องมือที่เปิดเผยความจริงทั้งหมด เพราะบางครั้งก็ต้องการชี้นําข้อมูลตามที่ตนเองต้องการ
***เทียบสงครามข้อมูล ไทย-กัมพูชา vs. รัสเซีย-ยูเครน
ปฐมย้ำอีกว่าแม้ทั้งศึกไทย-กัมพูชา และสมรภูมิรัสเซีย-ยูเครน จะมีการใช้ AI สร้างข่าวปลอมเหมือนกัน แต่ก็มีความแตกต่างที่สำคัญไม่ต่ำกว่า 4 ด้าน ซึ่งทุกด้านเป็นบทเรียนสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีสามารถถูกนำมาใช้สร้างข่าวสารในแบบที่โลกนึกไม่ถึง และทำให้ความตึงเครียดเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
ด้านแรกคือระดับความร้ายแรง ปฐมมองว่ารัสเซีย-ยูเครนเป็นสงครามระดับโลก ส่วนไทย-กัมพูชาเป็นความขัดแย้งในระดับภูมิภาคที่ต่างชาติไม่ได้มองว่าดีพเฟค AI เป็นเรื่องที่ต้องเดือดร้อน ดังนั้นจึงมีความเข้มข้นน้อยกว่า
ด้านที่ 2 คือเป้าหมายของการสร้างข่าวปลอม ปฐมมองว่าข่าวปลอมของรัสเซีย-ยูเครนเน้นสร้างความเห็นอกเห็นใจและเรียกการสนับสนุนจากประชาคมโลก ในขณะที่ของไทย-กัมพูชาอาจเน้นความสะใจ และปลุกปั่นอารมณ์ประชาชนภายในประเทศเป็นหลัก ด้านที่ 3 คือคุณภาพของข่าวปลอม ปฐมชี้ว่าข่าวปลอมของยูเครนกับรัสเซียใช้เทคโนโลยีขั้นสูง มีความสมจริงสูงกว่ามาก ส่วนของกัมพูชามีคุณภาพต่ำ ดูออกได้ง่าย แต่คนกัมพูชาอาจดูไม่ออก
ด้านที่ 4 คือการนำไปใช้โดยสื่อของรัฐ ในกรณีรัสเซีย-ยูเครน คลิปปลอมมักใช้ในโซเชียลมีเดียเท่านั้น และสื่อของรัฐบาลไม่นำไปใช้ แต่ในกรณีของกัมพูชา สื่อของรัฐบาลกลับนำภาพและวิดีโอปลอมมาใช้อย่างเป็นล่ำเป็นสัน ซึ่งจุดนี้ทำให้การตรวจสอบเป็นสิ่งจำเป็น โดยกรณีรัสเซีย-ยูเครนมีสื่อกระแสหลักทั่วโลกช่วยตรวจสอบ แต่กรณีไทย-กัมพูชาไม่มีการตรวจสอบจากสื่อระดับโลก
ที่สุดแล้ว ปฐมย้ำว่าในยุคข้อมูลข่าวสารที่ AI เข้ามามีบทบาทสำคัญ การยึดมั่นในความจริง การพัฒนา Media Literacy และการมองหาเครื่องมือที่น่าเชื่อถือในการตรวจสอบข้อมูล ถือเป็น 3 สิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการสู้ภัย AI ปั่นข่าวปลอม รวมถึงลดโอกาสที่ข้อมูลเท็จล้านชุด จะทำให้ความจริงบิดเบี้ยวไป.
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO