ยุโรปตื่นภัยสงครามใหญ่กับรัสเซีย
ไม่ผิดอะไรกับสร้างความสะพรึงให้แก่ชาวยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยุโรปตะวันตก ที่นำโดยฝรั่งเศส และเยอรมนี แสดงท่าทีเกี่ยวกับสงครามครั้งใหญ่ที่ทวีปยุโรปอาจจะได้เผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจอย่างรัสเซีย ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมานานกว่าครึ่งค่อนศตวรรษ
เมื่อทั้งผู้นำรัฐบาลฝรั่งเศส คือ ประธานาธิบดีแอมานุแอล มาครง พร้อมด้วย พล.เธียร์รี เบิร์กฮาร์ด ประธานเสนาธิการทหารร่วมของกองทัพฝรั่งเศส ก็ได้กล่าวถึงในลักษณะคาดการณ์ แบบพยากรณ์ฟันธง ลงในเนื้อหาของรายงานและคำนำของรายงาน ที่ว่าด้วยการทบทวนเชิงยุทธศาสตร์แห่งชาติฉบับใหม่ ซึ่งทางสำนักงานเลขาธิการด้านการป้องกันประเทศและความมั่นคงแห่งชาติของฝรั่งเศส นำออกมาเผยแพร่เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
โดยในรายงาน ระบุว่า “สงครามครั้งใหญ่อาจจะเกิดขึ้นในทวีปยุโรป”
ทั้งนี้ ใน “ทวีปยุโรป” ที่ว่า ก็คือในเขตพื้นที่ “ภาคพื้นทวีปยุโรปและยูโร-แอตแลนติก (European Continent and Euro-Atlantic Area)” คือ สงครามการสู้รบครั้งใหญ่จะรุกล้ำจากด้านตะวันออกเข้ามายังตะวันตกของยุโรป นั่นเอง
พร้อมระบุเจาะจงด้วยว่า เป็นฝรั่งเศส และชาติพันธมิตรในยุโรป ที่จะตกเป็นเป้าหมาย
โดยสงครามการส้รูรบครั้งใหญ่ที่จะมีขึ้น ก็ไม่ผิดอะไรกับการขยายวงลุกลามบานปลายมาจาก “สงครามรัสเซีย-ยูเครน” ที่สมรภูมิส่วนใหญ่อยู่ในประเทศยูเครน ซึ่งก็เป็นประเทศในทวีปยุโรปอยู่แล้ว ทางด้านตะวันออกของทวีป ที่กำลังโรมรันพันตูกันอยู่ หลังดำเนินการสู้รบมานานกว่า 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2022 (พ.ศ. 2565) เป็นต้นมา
ระยะเวลาของสงครามใหญ่ข้างต้น ตามรายงานดังกล่าว ระบุว่า ภายในปี 2030 (พ.ศ. 2573) หรืออีก 5 ปีข้างหน้า นั่นเอง
ในรายงานได้เอ่ยชื่อหลายประเทศด้วยกัน ในฐานะชาติที่จะเป็นภัยคุกคามก่อสงครามใหญ่กับยุโรป
ไล่ไปตั้งแต่ “รัสเซีย” ซึ่งเป็นไปตามความคาดหมายของหลายๆ คน เพราะได้รับการจับตาจ้องมองว่าเป็น ประเทศคู่อริ ชาติศัตรู ของบรรดาชาติในยุโรปตะวันตกมาตั้งแต่ไหนแต่ไร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา ถึงคริสต์ทศวรรษ 1990 “รัสเซีย” เมื่อครั้งที่ยังเป็น “สหภาพโซเวียตรัสเซีย” ได้เผชิญหน้ากับเหล่าชาติยุโรปตะวันตกใน “สงครามเย็น” พร้อมๆ กับเป็นคู่แข่ง คู่ปรปักษ์ต่อเนื่องระหว่างกันมาหลังจากนั้น
ตามรายงานได้ยกให้ “รัสเซีย” ก็ยกให้เป็น ประเทศที่เป็น “ภัยคุกคามสูงสุด” ของฝรั่งเศสและชาติพันธมิตรในยุโรป ในสงครามใหญ่ที่จะอุบัติขึ้น ถึงขนาดใช้คำว่า “การรุกรานของรัสเซีย” บ้าง “การข่มขู่คุกคามของรัสเซีย” บ้าง “การก้าวร้าวของรัสเซีย” บ้าง ซึ่งมีการกล่าวถึงคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องในทำนองนี้ถึง 50 ครั้งในรายงานดังกล่าว พร้อมกันนี้ ก็มีการระบุชื่อ “จีน” และ “อิหร่าน” ในฐานะที่เป็นประเทศร่วมขบวนการกับรัสเซีย สำหรับปฏิบัติการคุกคามที่จะเกิดขึ้นด้วย
โดยภัยคุกคามที่บรรดาประเทศเหล่าจะก่อวีรกรรม ก็จะมีปฏิบัติการต่างๆ หลายปฏิบัติการด้วยกัน ได้แก่
“การก่อการร้าย” หรือ “การก่อวินาศกรรม” เช่น การลอบวางระเบิดตามสถานที่สำคัญๆ เป็นต้น เพื่อเขย่าขวัญประชาชน และบ่อนทำลายความมั่นคงในประเทศที่ตกเป็นเป้าหมายการโจมตี
“การแบ่งแยกดินแดน” ซึ่งปฏิบัติการนี้ก็จะคล้ายคลึงกับที่รัสเซีย ดำเนินการกับภูมิภาคตะวันออกของยูเครน ด้วยการสนับสนุนกองกำลังแบ่งแยกดินแดนกลุ่มต่างๆ จนทำให้หลายแว่นแคว้น แยกตัวออกไปจากการปกครองของรัฐบาลกลางยูเครน ตลอดจนถูกผนวกไปเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของรัสเซีย เช่น ไครเมีย โดเนตสก์ และลูแกนสก์ หรือลูฮันสก์ เป็นต้น
ปฏิบัติการแบ่งแยกดินแดนในลักษณะข้างต้นนั้น ก็ยังมีขึ้นที่ “มอลโดวา” อีกหนึ่งประเทศในยุโรป ซึ่งมีพรมแดนอยู่ระหว่าง “ยูเครน” กับ “โรมาเนีย” ไม่มีพรมแดนติดกับรัสเซียแม้แต่น้อย แต่ปรากฏว่า ถูกรัสเซีย เข้าไปสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธในเขต “ทรานส์นิสเตรีย” ในการแบ่งแยกดินแดนในการปกครองออกมาจากมอลโดวา ณ ชั่วโมงนี้
เรียกว่า ไม่ต้องรอให้ถึงปี 2030 หรืออีก 5 ปีข้างหน้า ตามที่รายงานคาดการณ์ แต่ได้บังเกิดจริงขึ้นแล้วในบางพื้นที่ของประเทศในยุโรป
“การก่ออาชญากรรมทางไซเบอร์” ซึ่งจะเป็นโจมตีต่อระบบไซเบอร์ ด้วยปฏิบัติการเจาะระบบ หรือแฮ็ก ข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ เหมือนอย่างที่กลุ่มแฮ็กเกอร์ ลงมือถล่มระบบคอมพิวเตอร์ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระบบคอมพิวเตอร์ของหน่วยงานที่สำคัญ และหน่วยงานด้านความมั่นคง อย่างกระทรวงกลาโหม เป็นอาทิ
พร้อมกันนี้ ในรายงานก็ระบุว่า อาจจะมีกลุ่มอาชญากรต่างๆ เข้ามาร่วมวงไพบูลย์กับรัสเซีย ในการทำสงครามครั้งใหญ่กับยุโรปที่จะมีขึ้นใน 5 ปีข้างหน้าด้วย
นอกจากรายงานของฝรั่งเศสแล้ว ก็ยังมีทางการของเยอรมนี โดยกระทรวงกลาโหม และประธานาธิบดีเยอรมนี ออกมากล่าวแสดงท่าทีถึงการเตรียมการรับมือภัยคุกคามด้านความมั่นคงที่อาจจะเกิดขึ้นจากรัสเซีย
ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงกลาโหมของเยอรมนี ที่แสดงความต้องการซื้อขีปนาวุธพิสัยทำการต่างๆ เช่น ไทฟอนและโทมาฮอว์ก เป็นต้น จากสหรัฐฯ และการที่ประธานาธิบดีแฟรงก์ วอลเตอร์-สไตน์ไมเออร์ ของเยอรมนี เรียกร้องให้มีการเกณฑ์ทหาร เพื่อเตรียมกำลังพลสำหรับต่อกรรัสเซีย อย่างชนิดพร้อมรบ พร้อมสังหารทหารรัสเซีย
ทั้งหมดทั้งปวงข้างต้น ทางการรัสเซีย ออกมาตอบโต้ โดยโฆษกทำเนียบเครมลิน ตำหนิว่า ไม่ผิดอะไรกับปลุกปั่นให้รัสเซียกลายเป็นสัตว์ประหลาด ขณะที่ นายเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ กล่าววิจารณ์ว่า เสมือนกับการลากยุโรปทั้งทวีปมาทำสงครามกับรัสเซียอย่างไรอย่างนั้น