ย้อนเส้นทาง ‘ยีนส์’ จากของต้องห้าม สู่แฟชั่นกระแสหลัก
แฟชั่นที่เริ่มจาก “ความทนทาน”
กางเกงยีนส์ในความเข้าใจของคนจำนวนมากคือเสื้อผ้าที่ใส่ง่าย ทนทาน และไม่เคยหลุดจากความนิยม แต่หากย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ จุดเริ่มต้นของยีนส์ไม่ได้มาพร้อมคำว่า “แฟชั่น” แต่อย่างใด ต้นกำเนิดของผ้ายีนส์อยู่ในช่วงศตวรรษที่ 19 เมืองเจนัว ประเทศอิตาลี ก่อนจะถูกพัฒนาให้กลายเป็นกางเกงทำงานสำหรับแรงงานเหมืองในสหรัฐฯ โดย Levi Strauss นักธุรกิจผู้อพยพชาวเยอรมัน ความหนาแน่นของผ้ายีนส์และกระบวนการเย็บที่ทนต่อการขาด ทำให้มันกลายเป็นเครื่องแบบประจำของชนชั้นแรงงานอเมริกันโดยปริยาย
เมื่อเวลาผ่านไป ภาพจำของกางเกงยีนส์ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลง จากเครื่องแต่งกายของผู้ใช้แรงงาน กลับกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของความขบถในยุค 1950 เมื่อไอคอนฮอลลีวูดอย่าง James Dean และ Marlon Brando หยิบมันมาใส่บนจอภาพยนตร์ ส่งต่อภาพลักษณ์ของ “หนุ่มสาวนอกกรอบ” ให้กลายเป็นวัฒนธรรมย่อยของวัยรุ่นในยุคนั้น
ยีนส์เดินทางสู่เมืองไทย
เมื่อกระแสวัฒนธรรมตะวันตกแพร่เข้ามาในไทย กางเกงยีนส์ก็เริ่มแทรกซึมเข้ามาพร้อมกับนักเรียนแลกเปลี่ยน ภาพยนตร์ต่างประเทศ และนักท่องเที่ยวในช่วงทศวรรษ 2520–2530 อย่างไรก็ตาม ในระยะเริ่มต้นยีนส์ยังไม่ใช่เครื่องแต่งกายที่ “สังคมไทยยอมรับ” โดยเฉพาะในงานพิธีการหรือสถานที่ราชการ ซึ่งยังคงมีกรอบเรื่องความเรียบร้อยและความสุภาพในแบบไทย ๆ ครอบงำอยู่
การใส่กางเกงยีนส์ในมหาวิทยาลัยบางแห่งอาจนำไปสู่การถูกห้ามเข้าชั้นเรียน หรือแม้กระทั่งถูกตำหนิจากอาจารย์ หากใส่เข้าไปร่วมกิจกรรมทางการ นักเรียนบางคนถูกเรียกตักเตือน เพราะกางเกงของพวกเขามีรอยขาด หรือดูไม่เป็นระเบียบ ถึงแม้จะเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ก็ตาม
จากเสื้อผ้าวัยรุ่นหัวขบถ สู่กระแสหลักที่ทุกคนใส่ได้
การถูกมองว่า “ไม่สุภาพ” อาจไม่ใช่ความผิดของยีนส์ แต่อยู่ที่ความเข้าใจของผู้คนในยุคนั้นที่ยังมองแฟชั่นในฐานะสิ่งที่ต้องอยู่ในกรอบ กางเกงยีนส์จึงเคยถูกตีตราให้เป็นของ “วัยรุ่นหัวขบถ” ที่หลุดจากวัฒนธรรมดั้งเดิมของไทย ทว่ากระแสแฟชั่นที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาได้เข้ามาแทรกซึมในทุกระดับชั้น สื่อมวลชน ภาพยนตร์ และดาราไทยเริ่มหันมาใส่ยีนส์กันมากขึ้น โดยเฉพาะในยุค MTV ทำให้ภาพของกางเกงยีนส์เริ่มเปลี่ยนไปจากสิ่งต้องห้าม กลายเป็นสิ่งที่ยอมรับได้มากขึ้นในชีวิตประจำวัน
ช่วงปลายยุค 2530 เป็นต้นมา ห้างสรรพสินค้าในกรุงเทพฯ เริ่มมีแบรนด์ยีนส์วางขายเต็มพื้นที่ คนไทยทุกเพศทุกวัยเริ่มเข้าถึงกางเกงยีนส์ง่ายขึ้น ทั้งจากการซื้อผ่านร้านแบรนด์เนมและตลาดนัดกลางคืนที่ขายยีนส์มือสองจากญี่ปุ่นและอเมริกา
ยีนส์ไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก
ตลาดกางเกงยีนส์ในไทยไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่การบริโภค แต่เริ่มมีการพัฒนาแบรนด์ท้องถิ่นของตัวเอง แบรนด์ Mc Jeans ที่ก่อตั้งเมื่อปี 2518 เริ่มต้นจากการให้บริการซักฟอกผ้ายีนส์ ก่อนจะต่อยอดไปสู่การผลิตและจำหน่ายกางเกงยีนส์ในราคาจับต้องได้ เป็นตัวแทนของ “ยีนส์ไทย” ที่อยู่ในความทรงจำของคนหลายรุ่น
ขณะเดียวกันยีนส์คุณภาพสูงสายคราฟต์ก็เริ่มได้รับความนิยม เช่นแบรนด์ Indigo Skin ที่ใช้เทคนิคการทอแบบดั้งเดิม ผสมผสานกับวัตถุดิบไทยและดีไซน์ร่วมสมัย ยีนส์ไทยกลุ่มนี้ไม่ได้ผลิตเพื่อขายในประเทศเท่านั้น แต่ยังถูกส่งออกและยอมรับจากชาวต่างชาติที่หลงใหลในงานผ้าทอพรีเมียม
เมื่อยีนส์กลายเป็นสิ่งปกติ แต่ยังมีเงื่อนไ
แม้ในปัจจุบันกางเกงยีนส์จะกลายเป็นเครื่องแต่งกายสากลที่สามารถใส่ได้ในแทบทุกบริบท ทั้งการทำงาน การเรียน หรือชีวิตประจำวัน แต่ก็ยังคงมีพื้นที่ที่ยีนส์ถูกจำกัดอยู่ เช่น พิพิธภัณฑ์หรือพระราชวังที่มีข้อกำหนดให้แต่งกายสุภาพเป็นพิเศษ
การเมืองและวัฒนธรรมองค์กรก็ยังคงมีบทบาทในการจำกัดอิสระในการแต่งกาย ยกตัวอย่างเช่นกรณีรัฐมนตรีศึกษาธิการสวมกางเกงยีนส์ขาดในการลงพื้นที่ราชการ ซึ่งกลายเป็นกระแสในโลกออนไลน์และตั้งคำถามเกี่ยวกับมาตรฐานความเหมาะสมว่าควรยืดหยุ่นแค่ไหน และใครมีสิทธิกำหนดกรอบความสุภาพนั้น
ไม่ใช่แค่แฟชั่น แต่เป็นประวัติศาสตร์และการเมืองของร่างกาย
กางเกงยีนส์ในประเทศไทยเดินทางมาจากจุดที่เคยถูกมองว่า “ไม่เหมาะสม” ไปสู่การเป็นเสื้อผ้าที่คนทุกชนชั้นสามารถใส่ได้อย่างภาคภูมิใจ มันไม่ใช่แค่เครื่องแต่งกาย แต่มันคือบทสนทนาว่าด้วยสิทธิ เสรีภาพ และกรอบวัฒนธรรมในแต่ละยุคสมัย ยีนส์อาจไม่ใช่สัญลักษณ์ของการขบถอีกต่อไปในยุคนี้ แต่มันยังคงทำหน้าที่กระตุกให้เราคิดถึงคำว่า “ความเหมาะสม” ว่าแท้จริงแล้วมันอยู่ที่ใครเป็นคนกำหนด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง