ศบ.ทก. แถลงผลการประชุม สงสัยกรณีหนังสือของกองกำลังบูรพาที่ถูกเผยแพร่
พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ รองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย ในฐานะโฆษกศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) แถลงผลการประชุม ศบ.ทก. ที่ทำเนียบรัฐบาล ว่า จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาจะเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามได้มีการวางแผนที่ลึกซึ้งและแยบยล เริ่มจากการสร้างสถานการณ์ให้มีความตึงเครียดในพื้นที่ และขยายผลให้มีผลกระทบทางการเมือง สร้างความแตกแยกในสังคมไทย ทำให้ขาดความเชื่อมั่นในการทำงานของรัฐบาล ฉะนั้น การจัดตั้ง ศบ.ทก. เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากความตึงเครียด ศบ.ทก. มีวัตถุประสงค์เพื่อการบูรณาการการทำงานระยะสั้น ติดตาม ให้ข้อเสนอแนะการทำงานระยะยาว พยายามแก้ปัญหาความตึงเครียดในปัจจุบัน ถือเป็นวาระเร่งด่วนของชาติในการคืนสถานการณ์สู่ก่อนเหตุการณ์ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา ใช้ประชาชนกลับคืนสู่สภาวะปกติให้เร็วที่สุด
อีกประเด็นคือการยึดมั่นในหลักมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชนเป็นหลัก เรายึดสันติวิธี หลีกเลี่ยงความรุนแรงเป็นหลัก หลักคิดตรงนี้สืบเนื่องมาจากการที่กัมพูชาเองเป็นประเทศเพื่อนบ้าน เราไม่สามารถแยกจากกันได้ กัมพูชาอยู่ที่ไหน ประเทศไทยต้องอยู่ที่นั่น หลักคิดตรงนี้เป็นหลักคิดที่สำคัญ เราจะยึดมั่นในเรื่องของการดำเนินการพูดคุยเจรจาโดยสันติวิธี หลีกเลี่ยงใช้ความรุนแรง และจะสังเกตได้ว่าสถานการณ์ที่ผ่านมาไม่มีความรุนแรง เป็นสถานการณ์ถือว่าอยู่ในระดับสม่ำเสมอหรือทรงๆ ปัญหาที่ถูกกระทบต่อมาเป็นปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ ปากท้องของประชาชนเป็นวาระเร่งด่วนที่ทาง ศบ.ทก. ต้องรีบเร่งแก้ไขเช่นเดียวกัน
พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวต่อไปว่า จากประเด็นข่าวสารที่ปรากฏที่ผ่านมา โดยกล่าวหาว่าฝ่ายไทยปิดด่านเข้า-ออก ขอชี้แจงให้ทราบว่าฝ่ายไทยไม่มีนโยบายในการปิดด่านแต่อย่างใด การดำเนินการที่ผ่านมาเป็นการควบคุมด่านต่างๆ ที่เข้มข้นขึ้นในการผ่านเข้า-ออก โดยจำกัดประเภทคน และเวลาของการผ่านเข้า-ออก โดยคำนึงถึงพื้นฐานด้านมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชนเป็นสำคัญ เราพยายามรักษาการใช้ชีวิตของประชาชนในพื้นที่เหมือนเดิมให้มากที่สุด บรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน
ส่วนกรณีหนังสือของกองกำลังบูรพาที่ถูกเผยแพร่ผ่านสังคมออนไลน์ ที่ได้มีการประสานขอให้มีการผ่อนผันรถขนส่งสินค้าที่ติดค้างบริเวณจุดผ่านแดนต่างๆ นั้น เป็นการประสานงานเฉพาะภายใน ที่ผ่านมายังไม่มีการประสานไปยังฝ่ายกัมพูชาแต่อย่างใด ตัวหนังสือที่ออกมาไม่ทราบว่าหลุดออกไปยังฝ่ายกัมพูชาได้อย่างไร เพราะการประสานสิ่งจำเป็นของเราคือ ฝ่ายไทยต้องทำให้ฝ่ายไทยได้รับทราบข้อมูลและให้มีความชัดเจนเสียก่อน ก่อนที่เราจะประสานไปยังฝ่ายกัมพูชา
ทั้งนี้ เป็นประเด็นสืบเนื่องจากการที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ จ.สระแก้ว เมื่อวันที่ 26 มิถุนายนที่ผ่านมา และได้รับฟังความคิดเห็นความเดือดร้อนของประชาชน โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนส่งสินค้าที่ติดค้างอยู่ตามแนวชายแดน ไม่สามารถนำรถขนส่งสินค้าข้ามแดนมาได้ ซึ่งฝ่ายไทยมีแนวคิดที่จะผ่อนปรนให้รถขนส่งสินค้าสามารถเดินทางผ่านเข้า-ออกได้ คงเป็นมาตรการที่เราอยากประสานไปยังฝั่งกัมพูชา จะสังเกตได้ว่าเรายังไม่ทันได้ประสานไปยังกัมพูชาเลย แต่มีหนังสือทางกัมพูชาออกมา ในลักษณะของการปิดไม่ยอมให้รถขนส่งสินค้าฝ่ายไทยข้ามแดนได้
ทางด้าน นางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศ และรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า นโยบายของรัฐบาลเกี่ยวกับการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ อย่างที่ทราบมีการยกระดับมาตรการการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ แน่นอนการยกระดับในเรื่องนี้จะมีผลต่อการควบคุมจุดผ่านแดน ในประเด็นนี้ขอเรียนว่า ที่ผ่านมาทางกระทรวงการต่างประเทศได้ขับเคลื่อนความร่วมมือด้านการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติร่วมกับนานาชาติและหลายองค์กรมาโดยตลอด ทั้งในกรอบพหุภาคีและทวิภาคี ไม่ว่าจะเป็นกรอบสหประชาชาติ มีความร่วมมือสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นโอดีซี) กระบวนการบาหลี (The Bali Process) เป็นกรอบความร่วมมือระดับภูมิภาค หรือแม้กระทั่งในกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ที่แน่นอนว่าจะมีการเก็บหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาหารือ และอีกหลายกรอบความร่วมมือที่จะตั้งขึ้นเพิ่มเติมแล้วแต่สถานการณ์และเหมาะสม
ทั้งนี้ ไทยขอเรียกร้องฝ่ายกัมพูชาร่วมมือกับฝ่ายไทยอย่างจริงจังและจริงใจ เพื่อลดความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สิน และความปลอดภัยให้กับพี่น้องประชาชนทั้งสองฝ่าย.