เงินเฟ้อพุ่ง 25% ชาว ‘โบลิเวีย’ หันใช้คริปโทแทน ‘เงินโบลิเวียโน’
สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานวันนี้ (8 ส.ค.) ว่า ประชาชนในโบลิเวียเริ่มใช้สกุลเงินดิจิทัลแทนเงินท้องถิ่นมากขึ้น หลังอัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงถึง 25% ในขณะที่ความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลและเงินโบลิเวียโนตกต่ำ
การใช้คริปโทเคอร์เรนซีในโบลิเวียเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงปีกว่าที่ผ่านมา หลังรัฐบาลยกเลิกการห้ามใช้เมื่อปี 2024 โดยมูลค่าการชำระเงินดิจิทัลเพิ่มขึ้นกว่า 5 เท่า เป็น 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2025
ออสวัลโด บาร์ริกา นักธุรกิจท้องถิ่น กล่าวว่า "ในหมู่ผู้นำเข้า ปริมาณการใช้คริปโทสูงมาก เมื่อพวกเขาเข้าถึงเงินตราต่างประเทศไม่ได้และต้องการชำระเงินด่วน คริปโทกลายเป็นทางเลือกอันดับต้นๆ”
บทวิเคราะห์ของบลูมเบิร์ก เผยว่า โบลิเวียกำลังเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจรุนแรง รัฐบาลขาดดุลงบประมาณมา 11 ปีติดต่อกัน หนี้สินเงินตราต่างประเทศคิดเป็น 1 ใน 4 ของขนาดเศรษฐกิจ ขณะที่อุตสาหกรรมก๊าซธรรมชาติของรัฐซบเซา ส่งผลให้ประเทศหาเงินตราต่างประเทศได้ยาก
อัตราแลกเปลี่ยนโบลิเวียโนที่รัฐกำหนดไว้สูงเกินจริงทำให้สินค้าโดยเฉพาะของนำเข้ามีราคาแพง ส่วนการถอนเงินดอลลาร์จากธนาคารเอกชนถูกจำกัดเพียงสัปดาห์ละ 100 ดอลลาร์ ส่วนในตลาดมืดดอลลาร์มีราคา 14 โบลิเวียโน แพงกว่าอัตราทางการ 2 เท่าๆ
คริสโตเฟอร์ ซาลาส เจ้าของร้านกาแฟริมถนนในลาปาซ เล่าว่าลูกค้าบางคนจ่าย Satoshi ซึ่งเป็นหน่วยเล็กที่สุดของบิตคอยน์ โดยเขาแสดง QR Code เชื่อมต่อกับกระเป๋าเงินดิจิทัลจากบริษัท Blink ของเอลซัลวาดอร์
"สำหรับผม นี่เป็นวิธีรักษามูลค่าเงินออม แต่ยังเป็นการต่อต้านระบบและระบบราชการด้วย" ซาลาสกล่าว
คาร์ลอส เนย์รา ผู้ร่วมก่อตั้ง Meru ผู้ให้บริการกระเป๋าเงินคริปโทของโคลอมเบีย เผยว่าจำนวนผู้ใช้ชาวโบลิเวียเพิ่มขึ้น 6,600% นับตั้งแต่ธนาคารกลางยกเลิกการห้ามการใช้สกุลเงินดิจิทัล
ส่วนกีโด บัลกาซาร์ ผู้จัดการทั่วไปของ Red Enlace บริษัทประมวลผลบัตรเครดิตในโบลิเวีย กล่าวว่าบริษัทกำลังรีบพัฒนาระบบให้ร้านค้าปลีกรับ USDT ผ่านเครื่องรับบัตรและ QR Code "เทคโนโลยียังเป็นข้อจำกัดของคนต่างวัย แต่ความจำเป็นบังคับให้ต้องปรับตัว"
แม้ว่าคริปโทจะช่วยแก้ปัญหาความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจได้ แต่บทวิเคราะห์ของบลูมเบิร์ก เผยว่า สินทรัพย์ดิจิทัลนี้ก็มาพร้อมความเสี่ยง สเตเบิลคอยน์บางตัวมีปัญหาเรื่องเงินสำรองที่ไม่มั่นคง เช่น Terra ที่ล่มสลายในปี 2022 และ Tether ที่เคยถูกปรับ 41 ล้านดอลลาร์จากรัฐบาลสหรัฐในข้อหาโกหกเรื่องเงินสำรอง ส่วนบิตคอยน์มีความผันผวนของราคาสูง
อ้างอิง: Bloomberg