“มึงรู้หรือเปล่าว่ากูลูกใคร” เบื้องหลังจิตวิทยาการ ‘เบ่งอำนาจ’ เมื่อการอ้างอำนาจ สะท้อนความกลัวในใจ
“ผมรู้จัก XXX ที่เป็นตำรวจ”
“รู้จักนามสกุลผมไหม”
ประโยคเหล่านี้ฟังดูคุ้นๆ เวลาเห็นข่าวใครบางคนกระทำความผิด แล้วอวดอ้าง ‘อำนาจ’ บางอย่าง เพื่อให้ตัวเองรอดพ้นจากสถานการณ์นั้น หรือใช้อำนาจในมือเพื่อ ‘เปิดทาง’ ให้กระทำบางอย่างโดยไม่ถูกขัดใจ ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักเป็นกลุ่มคนที่คิดว่า ตนเองมีอำนาจหรือรู้จักผู้มีอำนาจ
แท้จริงแล้วพฤติกรรมหรือการกระทำดังกล่าว อาจเกิดจากความรู้สึกผิด (Guilt) ซึ่งเป็นหนึ่งในอารมณ์ที่สร้างความกดดันต่อจิตใจมนุษย์เป็นอย่างมาก หลายครั้งมันบั่นทอนความมั่นใจ ทำลายภาพลักษณ์ที่มีต่อตนเอง และทำให้ความสัมพันธ์กับผู้อื่นเกิดสั่นคลอน
ฉะนั้นแล้วแทนที่จะเผชิญหน้ากับความรู้สึกผิดอย่างตรงไปตรงมา คนจำนวนไม่น้อยจึงเลือกใช้ ‘อำนาจ’ เหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการอวดอำนาจตนเอง หรืออ้างถึงคนที่มีอำนาจเหนือกว่า ทั้งหมดก็เพื่อ ‘ปกป้อง’ ตนเองจากการถูกตำหนิและหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบนั่นเอง
เช่นนั้นแล้ว ทำไมการ ‘เบ่ง’ อำนาจ หรือการอ้างถึงอำนาจผู้อื่น จึงกลายเป็นกลไกที่หลายคนมักใช้เพื่อเอาตัวรอดจากความรู้สึกผิด
เบี่ยงเบนเพื่อป้องกันตนเอง
เวลาที่คนรู้สึกผิด ก็มักพยายามปกป้องตัวเองจากความรู้สึกไม่สบายใจโดยไม่รู้ตัว แทนที่จะยอมรับผิด กลับ ‘เบี่ยงเบน’ หรือ ‘ฉาย’ ความสนใจไปที่อำนาจของตนเองหรือผู้อื่นแทน มันเลยง่ายที่จะพูดว่า “ผมรู้จัก เสธ.ดิษ เดี๋ยวให้เขามาเคลียร์” แทนที่จะยอมรับว่า “ขอโทษครับ ผมขับรถเร็วเกินกำหนดจริงๆ” วิธีนี้จึงช่วยให้หลีกเลี่ยงความเจ็บปวดทางอารมณ์ แต่ก็ทำให้เราไม่สามารถรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริงได้
กลยุทธ์เพื่อความอยู่รอด
หากลองเปรียบกับที่ทำงาน การเมือง หรือสังคมแบบลำดับชั้น ความรู้สึกผิดนั้นอาจอันตราย เพราะนำไปสู่การลงโทษ สูญเสียสถานะ หรือถูกกันออกไป การอ้างอำนาจจึงเป็นการส่งสัญญาณว่า “ฉันไม่ใช่คนตัวเล็กตัวน้อยที่คุณจะมาทำอะไรได้ง่ายๆ นะ” ซึ่งคำอ้างอำนาจเหล่านี้ จะทำให้คนอื่นไม่กล้าทำอะไรต่อ เป็นวิธีการปกป้องตนเองเพื่อเอาตัวรอดในสถานการณ์ที่มีการ ‘แข่งขันสูง’ หรือ ‘เดิมพันสูง’
รักษาภาพลักษณ์
ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นคือ สิ่งที่ทำลายภาพลักษณ์ในใจของเราเอง คนที่อยากรักษาภาพลักษณ์ว่า ตนเองแข็งแกร่งหรือควบคุมได้ จึงมักรู้สึกถูก ‘คุกคาม’ เมื่อถูกจับได้ว่าทำผิด ดังนั้นการเบ่งอำนาจจึงเป็นการพยายามเรียกคืนสมดุลนั้นและปกป้องอัตตาไว้ บางครั้งเราจึงเห็นคนที่ถูกจับได้ว่าทำผิด แต่กลับอ้างถึงความดี ความสำเร็จของตนเองที่เคยทำมา ไปจนถึงอำนาจหรือสถานะทางสังคม เพื่อกลบความผิดนั้น และช่วยปกป้องความมั่นใจไม่ให้สูญเสียไป
การหาเหตุผลทางศีลธรรม
บางครั้งความรู้สึกผิด ทำให้คนเราสงสัยว่า ตนเองทำ ‘ผิดศีลธรรม’ หรือไม่ และเพื่อบรรเทาความอึดอันนั้น บางคนจึงมองไปที่ผู้มีอำนาจเป็นตัวอย่าง เช่น หากคนที่มีอำนาจกระทำในสิ่งเดียวกัน คนจึงรู้สึกว่า สิ่งที่ตนทำก็ไม่ผิด ซึ่งสิ่งนี้เป็นการสร้าง ‘ความปลอดภัยทางศีลธรรม’ ที่ผิดๆ เป็นการก้าวข้ามความผิดไปโดยที่ไม่ยอมเผชิญหน้ากับมันจริงๆ
การจัดการทางสังคม (Social Manipulation)
ในการอยู่ร่วมสังคม การกระทำผิดอาจทำให้บางคนดูอ่อนแอ และเพื่อแก้สถานการณ์นั้น จึงต้องยกอำนาจของตนเองหรืออำนาจของคนอื่นที่รู้จักขึ้นมา เพื่อข่มให้คนอื่นเงียบ เช่น ลูกนักการเมือง หรือลูกนักธุรกิจพันล้านที่เจอเรื่องอื้อฉาว และเอ่ยชื่อของคนรู้จักที่มีอำนาจในสังคม หรือมีตำแหน่งทางสังคม เพื่อส่งสัญญาณกลายๆ ว่า ‘อย่างมายุ่งกับกู’ ซึ่งนี่คือวิธีเลี่ยงการถูกตรวจสอบโดยใช้อำนาจ แทนที่จะเผชิญหน้ากับความจริง
สรุปแล้วการเบ่งอำนาจหรืออ้างถึงคนมีอำนาจเมื่อต้องเผชิญกับความรู้สึกผิด จึงเป็นได้ทั้งเกราะกำบังทางจิตใจ เพื่อปกป้องตนเอง และเป็นอาวุธทางสังคม เพื่อควบคุมการตอบสนองของผู้อื่น
แต่ไม่ว่าจะอ้างถึงอำนาจที่มีอย่างไร ท้ายที่สุดแล้วความผิดที่เกิดขึ้นก็ไม่เคยหายไปอย่างแท้จริง แม้จะทำให้คนอื่นเงียบได้ แต่เสียงความผิดในใจต่างหากที่จะดังอยู่ตลอด จนกว่าจะได้เผชิญหน้ากับการยอมรับความจริง
ที่มา:
- https://www.verywellmind.com/deflection-as-a-defense-mechanism-7152445