SCB KBank BAY ttb พาเรดหั่นดอกเบี้ยเงินกู้ ตามมติ กนง.
ธนาคารพาณิชย์รายใหญ่ต่างๆ รวมถึง ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ธนาคารกสิกรไทย (Kbank) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) และทีเอ็มบีธนชาต (ttb) แห่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ตามมติคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จาก 1.75% มาอยู่ที่ 1.50% ต่อปี
วันนี้ (14 สิงหาคม) กฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธนาคารไทยพาณิชย์ ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภท 0.25% ต่อปี สอดคล้องกับมติคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จาก 1.75% มาอยู่ที่ 1.50% ต่อปี เพื่อช่วยเพิ่มสภาพคล่องสำหรับภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ และลดภาระต้นทุนทางการเงินของลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มที่ยังเปราะบาง อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ใหม่มีผลตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป โดยมีรายละเอียดดังนี้
อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR : Minimum Loan Rate) จากปัจจุบันอยู่ที่ 6.750% เป็น 6.500% ต่อปี
อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (MOR : Minimum Overdraft Rate) จากปัจจุบันอยู่ที่ 6.925% เป็น 6.675% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR : Minimum Retail Rate) จากปัจจุบันอยู่ที่ 7.025% เป็น 6.775% ต่อปี
ธนาคารกสิกรไทย ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ M Rate ลง 0.25%
จงรัก รัตนเพียร ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้สอดคล้องกับมติของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งได้มีมติเป็นเอกฉันท์ในการประชุมเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2568 ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เหลือ 1.50% ต่อปี
ธนาคารทำการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อลง โดยมีรายละเอียดดังนี้
- อัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ปรับลด 0.25% จาก 6.97% เหลือ 6.72% ต่อปี
- อัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (MOR) ปรับลด 0.25% จาก 6.94% เหลือ 6.69% ต่อปี
- อัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) ปรับลด 0.25% จาก 7.03% เหลือ 6.78% ต่อปี
“ตามภาวะเศรษฐกิจไทยที่แม้จะยังคงขยายตัวได้ใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ แต่ยังเผชิญความท้าทายหลายด้านซึ่งมีแนวโน้มจะส่งผลกระทบต่อปัญหาเชิงโครงสร้างและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ นอกจากนี้ การดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายเพิ่มขึ้นน่าจะเอื้อต่อการปรับตัวของภาคธุรกิจ และกลุ่มเปราะบาง ซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของธนาคารที่ให้ความสำคัญกับการดูแลลูกค้าทุกกลุ่มอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ เช่น ลูกค้ารายย่อยและผู้ประกอบการรายเล็กที่ยังคงเผชิญภาระต้นทุนทางการเงินสูงท่ามกลางรายได้ที่ฟื้นตัวช้า”
“ธนาคารเชื่อมั่นว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้จะช่วยลดต้นทุนทางการเงิน เสริมสภาพคล่อง และเพิ่มความสามารถในการปรับตัวของภาคธุรกิจและครัวเรือน อันจะนำไปสู่ความมั่นคงทางเศรษฐกิจในระยะยาว และธนาคารพร้อมทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการส่งผ่านอัตราดอกเบี้ยสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างเหมาะสม ช่วยให้ลูกค้าของธนาคารมีความยืดหยุ่นทางการเงิน เพื่อต่อยอดการฟื้นตัวและการเติบโตอย่างยั่งยืน”
กรุงศรีปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 0.25% มีผลวันที่ 18 สิงหาคม 2568
วันนี้ (14 สิงหาคม) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 0.25% ต่อปี โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม 2568 สอดคล้องกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายล่าสุดของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และเพื่อช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ตลอดจนช่วยลดต้นทุนทางการเงินและบรรเทาภาระของลูกค้าทั้งในภาคธุรกิจและรายย่อย
กรุงศรีปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ดังนี้
- อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (Minimum Loan Rate หรือ MLR) ปรับลดลงจาก 7.000% เป็น 6.750%
- อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (Minimum Overdraft Rate หรือ MOR) ปรับลดลงจาก 6.975% เป็น 6.725%
- อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี (Minimum Retail Rate หรือ MRR) ปรับลดลงจาก 7.120% เป็น 6.870%
เคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “กรุงศรีปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง 0.25% ต่อปี สำหรับลูกค้าทุกกลุ่ม สอดคล้องกับทิศทางการดำเนินนโยบายทางการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยสร้างสภาพแวดล้อมทางการเงินที่เอื้อต่อการปรับตัวของภาคธุรกิจ ลดต้นทุนทางการเงินและบรรเทาภาระหนี้ของลูกค้า อีกทั้งยังเป็นการช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ซึ่งมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมของมาตรการภาษีสหรัฐฯ รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง”
การปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งในแนวทางที่กรุงศรีได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ต่างๆ สะท้อนถึงความห่วงใยและความมุ่งมั่นในการช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่ม
ทีทีบี ลดดอกเบี้ยเงินกู้ทุกกลุ่ม 0.25% ต่อปี มีผล 15 ส.ค.นี้
ทีเอ็มบีธนชาต (ttb) ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกกลุ่ม 0.25% ต่อปี โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 15 ส.ค. 2568 สอดคล้องกับมติ กนง. ช่วยเพิ่มความผ่อนคลายทางเศรษฐกิจ เอื้อต่อการปรับตัวของภาคธุรกิจและบรรเทาภาระลูกหนี้ ให้สามารถตั้งรับกับสภาพเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง จากผลกระทบของนโยบายการค้าโลก ปัญหาสภาพคล่องและภาระหนี้ครัวเรือนที่ยังคงเพิ่มขึ้น
ปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต กล่าวว่า ทีทีบี พร้อมอยู่เคียงข้างและให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ลูกค้าทุกกลุ่มในทุกสถานการณ์มาโดยตลอด โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่สภาพเศรษฐกิจเปราะบางจากปัจจัยภายในและนอกประเทศ อาทิ ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากมาตรการภาษีสหรัฐในช่วงครึ่งปีหลังที่กระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจ ผลพวงจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีแนวโน้มลดลง อีกทั้งปัญหาหนี้ครัวเรือนที่รายได้ไม่สัมพันธ์กับรายจ่ายยังคงเป็นปัญหาเรื้อรัง ล้วนเป็นปัจจัยที่กดดันให้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มปรับตัวลง เพื่อเป็นการสอดรับกับมติ กนง. ที่ต้องการช่วยเพิ่มความผ่อนคลาย กระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และช่วยบรรเทาไม่ให้ค่าครองชีพของลูกค้าและต้นทุนของธุรกิจยิ่งสูงไปกว่านี้ ทีทีบี จึงได้พิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง 0.25% ต่อปีเพื่อช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่ม ตั้งแต่รายย่อย ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และกลุ่มลูกค้าธุรกิจ สำหรับผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่อ้างอิงอัตราดอกเบี้ย MLR, MOR และ MRR โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 15 ส.ค. 2568
นอกจากความช่วยเหลือด้านการปรับลดอัตราดอกเบี้ยแล้ว ธนาคารยังคงตอกย้ำปีแห่งการช่วยเหลือลูกหนี้สนับสนุนลูกค้าสินเชื่อเพิ่มเติมผ่านโปรแกรม “ทีทีบี ผ่อนดี.. มีรางวัล” ที่ให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่มีประวัติผ่อนดี ซึ่งถือเป็นลูกค้าอีกกลุ่มที่สำคัญและยังไม่ค่อยได้รับการช่วยเหลือ โดยโปรแกรมนี้ให้ความช่วยเหลือครอบคลุมทั้งคนผ่อนดีที่มีบ้าน มีรถ และกลุ่มพนักงานเงินเดือนที่มีสินเชื่อบุคคล ซึ่งการปรับลดดอกเบี้ยลงในครั้งนี้ จะช่วยให้ลูกค้าได้รับสิทธิประโยชน์จากโปรแกรมนี้เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ทีทีบี ยังพร้อมให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ต่าง ๆ ตลอดจนมีความมุ่งมั่นส่งเสริมให้ลูกค้าสามารถจัดการภาระหนี้ที่มีอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยั่งยืนผ่านโซลูชันรวบหนี้ โซลูชันโอนยอดหนี้ โครงการคุณสู้ เราช่วย ควบคู่กับแนะนำการให้ความรู้ทางการเงิน เพื่อการจัดการหนี้ที่สอดคล้องกับรายได้และความสามารถในการชำระคืน ภายใต้หลักเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) ตามเป้าหมายของธนาคารที่มุ่งมั่นทำให้คนไทยมีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นทั้งวันนี้ และอนาคต