เปิดใจ หมอสุภัทร หลังถูกให้ออกจากราชการ ปมจัดซื้อชุดตรวจโควิด-19 แบบ ATK
จากกรณี นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสะบ้าย้อย จ.สงขลา และประธานชมรมแพทย์ชนบท เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ซึ่งได้ระบุว่า ขณะนี้กำลังถูกดำเนินการให้ออกจากราชการในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ภายหลังถูกตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัยกรณีจัดซื้อชุดตรวจโควิด-19 แบบ ATK ที่นำไปใช้ตรวจคัดกรองประชาชนในกรุงเทพมหานคร ซึ่งเขามองว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม และถือเป็นการกลั่นแกล้ง
ล่าสุดเมื่อวันที่ 16 ส.ค. 2568 นพ.สุภัทร ให้สัมภาษณ์ถึงสาเหตุที่นำมาสู่เรื่องนี้ว่า มีความขัดแย้งระหว่างชมรมแพทย์ชนบทกับ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัด สธ. คนปัจจุบัน ความขัดแย้งดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่สมัย นพ.โอภาส ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมควบคุมโรค เนื่องจากชมรมแพทย์ชนบทและตนวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของกรมที่ล่าช้า รวมถึงการบริหารวัคซีนไม่เพียงพอ
ต่อมาในปี 2564 ชมรมแพทย์ชนบทได้เข้ามาช่วยเหลือประชาชนกรุงเทพฯ ในช่วงโควิด-19 ระบาด โดยนพ.สุภัทรเป็นแกนนำสำคัญ และยังคงแสดงความเห็นอย่างต่อเนื่องแม้ภายหลัง นพ.โอภาส ขึ้นดำรงตำแหน่งปลัด สธ. ทำให้ถูกตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัยหลายครั้ง และมีคำสั่งย้ายจากโรงพยาบาลจะนะ มายังโรงพยาบาลสะบ้าย้อย เพื่อหวังให้ยุติการวิพากษ์วิจารณ์
นพ.สุภัทร ระบุว่า การสอบสวนเน้นไปที่การจัดซื้อชุดตรวจ ATK และการปฏิบัติการแพทย์ชนบทบุกกรุงเทพฯ เช่น การนำรถพยาบาลและบุคลากรของ รพ.จะนะ ไปปฏิบัติการ รวมถึงการเบิกจ่ายค่าน้ำมัน ทั้งที่มีโรงพยาบาลกว่า 60 แห่งเข้าร่วม แต่กลับสอบสวนเพียง รพ.จะนะ แห่งเดียว ซึ่งภายหลังผลการสอบสวนยืนยันว่า รพ.จะนะดำเนินการถูกต้องตามระเบียบทุกประการ
ในขณะนั้น ชุดตรวจ ATK ถือว่าหายากและมีราคาสูง รพ.จะนะสามารถจัดซื้อได้ในราคาชิ้นละ 260 บาท ถูกกว่าราคาตลาดที่ประมาณ 350 บาท โดยร่วมมือกับหลายโรงพยาบาลนำมารวมเป็นกองกลาง และตรวจคัดกรองประชาชนไปทั้งหมด 192,905 คน พบผู้ติดเชื้อ 22,451 คน และได้รับยารักษา แต่กลับมีการสอบสวนเอาผิดเฉพาะตน จึงมองว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ
ทั้งนี้ นพ.สุภัทร ยืนยันว่า การดำเนินงานของ รพ.จะนะ เป็นไปตามระเบียบทุกขั้นตอน ไม่ได้เอื้อประโยชน์แก่เอกชน และไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ โดยได้ส่งคำชี้แจงต่อกรรมการสอบสวนทางวินัยไปแล้วตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2567
สำหรับขั้นตอนต่อไป หลังกรรมการสอบสวนทางวินัยมีมติให้ออกจากราชการ เรื่องทั้งหมดจะถูกส่งต่อไปยังคณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน กระทรวงสาธารณสุข (อ.ก.พ.สธ.) ซึ่งมีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข เป็นประธาน เพื่อพิจารณาว่าจะเห็นชอบตามมติหรือไม่ หากเห็นชอบก็ต้องออกจากราชการ แต่หากไม่เห็นด้วย อาจมีการสอบสวนเพิ่มเติมต่อไป
นอกจากนี้ นพ.สุภัทร ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า ปัญหาสำคัญของระบบราชการคือ ข้าราชการจำนวนมากไม่กล้าออกมาแสดงความเห็นเรื่องทุจริตหรือนโยบายที่ผิดเพี้ยน เพราะเกรงว่าจะถูกกลั่นแกล้งเช่นเดียวกับตน ซึ่งทำให้ประเทศไม่สามารถปราบคอร์รัปชันได้อย่างแท้จริง พร้อมเรียกร้องว่าถึงเวลาต้องปฏิรูประบบราชการครั้งใหญ่ เพื่อให้ประเทศสามารถเดินหน้าต่อไปได้