สัจธรรมใหญ่ถูกค้นพบระหว่างทางป่า ‘วสันต์ 17’ นักร้องที่ยังคงเป็นไอ้หนุ่มชาวสวนคนเดิม
หากวันใดที่เธอได้พบผู้คนในป่า เธอหนีให้ไกล พวกมนุษย์แสนใจร้ายและอันตราย เธออย่าไว้ใจ โปรดจงหนีเข้าไปให้ลึกให้ไกลในป่าและหายไป อย่าให้รู้ว่าเธอยังเหลือ พวกเขาจะมาพรากเธอไป
“เพลงจงหนีไปมาจากข่าวที่เราเห็น มียีราฟตัวหนึ่งหลุดจากคาราวานที่จะนำไปส่งที่สวนสัตว์ พอเจ้าหน้าที่พักกินข้าว ยีราฟก็หลุดจากเชือกที่เขามัด มันวิ่งเข้าป่าไป เช้าอีกวันยีราฟก็ตายอยู่ในคูน้ำแล้ว เพราะถูกยาสลบยิง เราคาดหวังให้มันรอดตายทั้งคืน แต่ผิดหวัง ยังพูดกับตัวเองอยู่เลยว่าหนีไปซะไป เดี๋ยวก็คงรอดตายแล้ว” ผู้พูดที่มาบทเพลงยังดูไม่แก่ แต่ก็ไม่น่าจะใช่หนุ่มวัยสะพรั่ง ด้วยน้ำเสียงสำเนียงที่ช่างเชื่องช้า เข้มทุ้ม ลุ่มลึกราวกับพระกำลังเทศนา
ทว่าเมื่อเสียงเขาถูกขับร้อง กลับไม่ได้ทำให้เราอยากหลับใหล แต่ต้องใช้คำว่าหลงใหล เพราะเขาทำให้คนฟังอิ่มหนำถึงมวลบรรยากาศของทุ่งหมอกขาว แม้อยู่กลางเมืองใหญ่ได้เสมอ
เขาเป็นนักร้องแนวเพลงอะคูสติก บอกอย่างนี้อาจกว้างไปหน่อยจนนึกกันไม่ออก อย่างนั้น เขาเป็นนักร้องอะคูสติกที่ผมสีขาวเกือบโพลน รักในการอยู่หลังพวงมาลัยของรถออฟโรดที่พาเสี่ยงอันตราย ขัดกับบุคลิกภายนอก ภาษากายเย็นเยือก และเขาจะรักอย่างยิ่งหากทั้งสี่ล้อได้เคลื่อนเข้าในป่าลึก ‘วสันต์-วสันต์ ไชยอำนวย’ หรือ ‘วสันต์ 17’ จากเด็กหนุ่มจบใหม่ที่เอาแต่นอนแต่งเพลงมองใบไม้อย่างฝันเฟื่องอยู่ในสวนของพ่อ สู่การเดบิวต์ตัวเองด้วยเพลงโกดำลงเฟซบุ๊ก กระทั่งโด่งดังด้วยเพลงจงหนีไป เขาว่าถ้าหากไม่มีวันนั้น คงมาไม่ถึงวันนี้
จากตะวัน จากต้นไม้ จากลำธารกว้างไกล
จากภูเขา สายลมที่ไกลแสนไกล
ถ้าวันนั้นมันมาไม่ถึงวันนี้ ได้คิดไหมว่าจะทำอะไรต่อ
ก็ดำเนินชีวิตเหมือนตอนเริ่มเขียนเพลง ความใฝ่ฝันของเรามีแค่การได้อยู่นิ่งๆ ในที่สงบๆ แล้วทำสวน หลังเรียนจบมหาวิทยาลัยก็ทำอย่างนั้นเลย เพราะบ้านพ่อมีสวนอยู่ที่ปราจีนบุรี แต่ถ้าทำสวนแล้วเงินหมดก็ไปทำงานประจำ มันเป็นวิถีชีวิตคนบ้านนอกอย่างเรา มีเงินค่อยทำตามความฝัน สุดท้ายเราก็เข้าใจสัจธรรมที่ว่าการจะทำตามความฝันได้มันยาก มันเหนื่อย ต้องใช้เงินมหาศาลเลย เราต้องย้อนไปมองก่อนว่าความจริงของเราแข็งแรงไหม การใช้ชีวิต เงินในบัญชีเป็นอย่างไร
ณ ความคิดของเด็กยี่สิบกว่าในตอนนั้น มันแค่ต้องมีเงินมากพอแล้วค่อยลาออกจากงานประจำเพื่อทำตามความฝัน ก็เพ้อฝันกันไปจนเงินหมด ความจริงเริ่มร่อยหรอ แต่ตอนนี้ความเพ้อฝันของเรา มันรองรับความจริงได้แล้ว
ล่องลอยอยู่ในสวนไปวันๆ โดยไม่ถูกคาดหวังจากครอบครัวเลยเหรอ
ไม่ เราโตมาในครอบครัวที่เลี้ยงแบบไม่คาดหวัง ก็แค่ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ พ่อแม่เราจะมีความสุขเมื่อเห็นเรามีความสุข จะทำอะไรก็ทำไป แค่รับผิดชอบตัวเองให้ได้ก็พอ
แต่เราก็ไม่คาดหวังจะเป็นศิลปิน แล้วจู่ๆ ทำไมถึงเปลี่ยนความคิด
คงเพราะตั้งแต่ที่มีคนอยากให้เราร้องเพลงให้เขาฟัง มีคนฟังเพลงของเราแล้วกลับมาบอกอะไรบางอย่าง ทุกวันนี้เรามองศิลปินคนอื่นก็รู้สึกว่าเขาเป็นนักร้องจริงๆ มากกว่าเราอีก (หัวเราะ) เขาร้องเพลงเพราะเขามีเทคนิค แต่อย่างเราจะเชื่อแค่ว่าตัวเองมีความสามารถในการเล่นดนตรี เรียบเรียงประโยคได้ ส่งมันออกมาเป็นบทเพลงได้ ทุกวันนี้ก็ยังไม่คิดว่าตัวเองร้องเพลงเพราะนะ
แล้วนักร้องจริงๆ สำหรับวสันต์เป็นอย่างไร
คนที่สามารถทำให้คนรับฟังและเชื่อได้ เท่านั้นเอง นักร้องบางคนอาจจะไม่ได้มีชีวิตที่เศร้าก็ได้ แต่เขาทำให้คนฟังรู้สึกเศร้าไปกับเขาผ่านเพลง นั่นคืออิทธิพลของเสียงเพลง
การได้เป็นวสันต์ 17 สนุกหรือเปล่า
สนุกบ้าง เบื่อบ้าง ตามอารมณ์คน แต่ดีใจที่มีคนมารอเจอเรานะ บางคนมาบอกว่าดีขึ้นได้เพราะเพลงเรา บางคนเคยตัดสินใจจะจบชีวิต พอได้ยินวรรคเดียวของเรามันทำให้เขายังอยู่ เขาก็มาคอนเสิร์ตเพื่อขอบคุณทั้งที่ไม่รู้จักเรามาก่อนเลย นี่ก็อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้อยากเป็นนักร้อง แค่เขียนเพลงไปแล้วคนสัมผัสได้จริงก็พอแล้ว
ทำไมต้องเป็นเลข 17
ตอนยังเรียนอยู่ เวลาคนเขาถามหากันว่าสันต์ไหน ก็พูดกันสันต์ 17 ไง เพราะเราเรียนปวช.เทคโนโลยีดุสิตรุ่น 17 แล้วก็สอบได้ที่ 17 ขับรถไปไหนก็เห็นแต่เลข 17 อีกอย่างคือตอนที่เราปล่อยเพลงบนยูทูบ ใช้คีย์เวิร์ดเสิร์ชเมื่อไหร่ก็จะเป็นอัสนี-วสันต์หมดเลย (หัวเราะ) ด้วยความผูกพันกับเลขนี้ ก็วสันต์ 17 แล้วกัน
มีศิลปินที่เป็นแรงบันดาลใจให้เราบ้างไหม
มี อย่างตอนเด็กๆ จะชอบวงร็อกตามประสาไป แต่พอโตขึ้นมา เราเข้าใจความหมายของดนตรี เข้าใจเนื้อหามากขึ้น ก็จะชอบพี่บอย Imagine ย้อนยุคกลับมาสู่ความธรรมดาที่สุด ความไม่มีอะไรที่สุด เราเคยคาดหวังว่าวงดนตรีจะต้องเต็มแบนด์ มีเอฟเฟกต์ มีคนดู สุดท้ายก็เริ่มมาเห็นความธรรมดาว่ากีตาร์ตัวเดียวก็ใช้เล่าเรื่องได้ ด้วยความที่เป็นคนชอบศิลปะในการพูด ฟังคนทอล์กโชว์ พระเทศน์ แต่มันเป็นอีกแขนงหนึ่งที่เราไม่ถนัด จะให้ไปทอล์กโชว์ก็ไม่ได้ บวชเป็นพระเทศน์ก็ไม่ได้ เราถนัดในการร้องเพลง
อินกับธรรมะเหรอ
อ่านหนังสือของทุกศาสนานะ ชอบดูโครงสร้างศาสนาของเขา ดูว่ามีธรรมะอะไรบ้างที่เอามาใช้ในชีวิตได้ อย่างที่ใช้ยึดอยู่ตอนนี้ก็มีความเชื่อกับความไม่เชื่อ และเราเชื่อแค่ในสิ่งที่เราอยากเชื่อ
เมื่อใดเกิด เมื่อนั้นรู้
เคยอยากเลิกเป็นนักร้องไหม
เคยสิ โห! มันเป็นความคิดที่ควบคู่กันมากับความอยากเป็น สิ่งที่ฝันไว้กับสิ่งที่เจอมันไม่เหมือนกัน บางครั้งเขียนเพลงไม่ได้ หัวตัน เขียนได้แต่ไม่ชอบจนขยำกระดาษทิ้งก็มี ตอนเราเริ่มทำเพลงใหม่ๆ ยังไม่มีความกดดัน มีแต่ชีวิตและเรื่องราวของเรา อินอะไรก็เขียนลงไป แต่ถึงวันหนึ่งที่ชีวิตมีพร้อมทุกอย่างแล้ว ไม่มีแรงกดดัน ไม่มีไอเดียอะไรเลย บางคนเขียนเพลงอกหักรักคุด เจ็บแทบเป็นแทบตาย เพราะเขาเจอมาจริงๆ เราก็เลยชอบ แต่ในขณะที่ชีวิตเราดีแล้ว ความรักก็ดีจะให้ไปเขียนเพลงอกหักก็ไม่รู้สึกอีก เขียนเพลงถึงความยากจนอดอยากก็ไม่ใช่สิ่งที่เราเจอ
บางครั้งเราน้อยอกน้อยใจ เริ่มไม่เชื่อว่าจะเขียนเพลงให้คนเชื่อได้ อยากจะเลิกจะพักก็มี สุดท้ายพอได้เจอคนมาต่อแถวรอเรา บอกเราว่าขอบคุณนะ พี่พักบ้างนะ มันทำให้อยากทำเพลงต่อไป เราเคยทัวร์คอนเสิร์ตเดือนหนึ่งติดกัน 20 วัน เลยบอกผู้จัดการว่าจะเข้าหน้าฝนแล้ว ช่วยรับงานให้น้อยลงหน่อยได้ไหม ขอออกไปใช้ชีวิตหน่อย ไปคุยกับคนแปลกหน้า หาแรงบันดาลใจหน่อย ช่วงที่ผ่านมา เราก็เที่ยวแหลกลาญเลย ไปอยู่กับชาวบ้าน เริ่มหลุดพ้นจากชีวิตเดิมๆ ที่ตื่นเช้ามาขึ้นรถตู้ ซาวด์เช็ก ถึงเวลาเล่นดนตรี เสร็จแล้วก็กลับ
เราเดินทางทั่วประเทศก็จริง แต่ความรู้สึกมันไม่ใช่การเดินทางสำหรับเรา ได้แค่มองป้ายว่าอยู่ที่ไหน ทำให้เริ่มขอผู้จัดการออกเดินทางเอง จ่ายค่าน้ำมันเพิ่มเอง เราจะได้แวะข้างทางบ้าง เจอแม่ค้าขายลูกชิ้นอยู่กับลูกก็อุดหนุนเขา ถามว่าลูกเรียนที่ไหน นี่แหละคือการใช้ชีวิตสำหรับเรา ตอนนี้ก็มีเพลงที่กำลังจะปล่อยนะ มาจากตอนที่เป็นไอ้หนุ่มชาวสวน เพิ่งมาไล่ทำเพลงเต็ม
รับงานน้อยลงแล้วผู้จัดการว่าอย่างไรบ้าง
เขาก็เครียดนะ (หัวเราะ) จะคอยย้ำว่าวสันต์อย่าป่วยนะ นี่เข้าป่าอีกแล้วเหรอ! อย่าตากฝนนะ มันมีตอนที่เข้าป่าไปแล้วไม่มีสัญญาณ แต่เรารู้ว่าวันนี้ต้องเซ็นเอกสาร ก็ขับรถขึ้นไปบนยอดเขาหาสัญญาณ ลุ้นไปด้วยกันซะเลย
รู้สึกผูกพันกับป่าตั้งแต่เมื่อไหร่
ตั้งแต่เด็กเลย เราชอบขอติดขบวนรถออฟโรดไปทำโป่งเทียม ส่องสัตว์ แคมปิง พอได้เป็นทหารก็ใช้ชีวิตอยู่ในป่าชายแดน ทำภารกิจอยู่แต่ในป่า เดินลาดตระเวน คุยกับชาวบ้าน
การเข้าป่าให้อะไรกับวสันต์บ้าง
มันทำให้เราได้รู้ตัวเอง สมมติขับออฟโรดเข้าไปในพื้นที่ที่มีปัญหา รถมันก็มีโอกาสพังสูง เราก็เครียด อับจนหนทาง ทำให้ก้าวร้าว นิสัยไม่ดี ฟึดฟัดใส่คนรอบข้าง ถ้าเริ่มเป็นแบบนั้นเมื่อไหร่จะต้องรีบนั่งพูดกับตัวเองว่าไม่ได้แล้วนะ ควบคุมตัวเองหน่อย คนอื่นเขามักมองว่าเราใจเย็น แต่พอถึงขีดสุดแล้ว เรากลับไม่เป็นอย่างนั้น คนเราทุกคนมีความก้าวร้าวอยู่แล้ว อยู่ที่ใครจะควบคุมได้เร็วกว่า ต้องรู้ตัวเอง
ทำไมถึงเลือกขับออฟโรดล่ะ
นี่ก็นับเป็นความฝันเลยนะ ย้อนไปตอนนั้นเราอายุ 15 ปี ได้ไปกับขบวนรถออฟโรดที่น้ำตกผาสวรรค์ จังหวัดกาญจนบุรี รถก็เกิดปัญหา แต่เห็นว่าทุกคนไม่ได้ทำหน้าตาเครียดเลย ยังแบ่งน้ำ แบ่งอาหารให้กัน พออยู่ในป่าแล้วทุกคนเท่ากันหมด เป็นเพื่อนกัน ช่วยเหลือกัน มันเป็นสังคมที่เราต้องการ ทำให้ฝันอยากมีรถออฟโรดมาตลอด จนมีรถโตโยต้าออฟโรดคันแรกก็ได้เข้าไปอยู่ในสังคมนี้ แต่เราชอบเที่ยวกับคนที่อายุเยอะมากกว่าวัยรุ่น พวกเขารอบคอบ ไม่ค่อยใจร้อน ไม่มุทะลุ
จากที่เราแค่ชอบเที่ยวป่า เข้าป่า พักหลังมากลายเป็นว่าเราอินกับการเอาของเข้าไปให้คนในนั้น อยากไปหาชาวบ้านที่อยู่ในป่า เด็กๆ ข้างใน เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า แต่จะไม่ใช่การบริจาคนะ มีครั้งหนึ่งเราได้คุยกับผู้นำชุมชน เราถามเขาว่าต้องการอะไรอีกไหม เดี๋ยวผมหามาบริจาคให้ เราใช้คำว่าบริจาคกับเขา เขาบอกว่าไม่เลย เขามีสวนไว้ปลูกผักกิน มีรถไถ เงินก็มี สิ่งที่เขาต้องการจริงๆ คือความคิดถึง พวกเขารู้สึกเหงา ไม่ได้เจอใครเลย และการที่เขาได้เจอวสันต์ มันทำให้เขาดีใจมาก เพราะการที่พวกเขาจะไปในเมืองได้ ก็ต้องนั่งแพข้ามน้ำข้ามวันกันไป
ผู้ใหญ่หรือเด็กที่เติบโตอยู่ในนั้น ทั้งชีวิตเขาก็จะเห็นหน้าเห็นตากันอยู่แค่นั้น พอมีคนแปลกหน้ามาเลยทำให้เขาตื่นเต้นมาก เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าเองก็บอกเราว่าอย่างน้อยการมีคนที่ฝ่ารถเข้ามาหาพวกเขา ทำให้รู้ว่าเราไม่ได้ลืมพวกเขา ยังมีพวกเขาอยู่ตรงนี้ สิ่งที่พวกเขาทำยังมีประโยชน์
แต่การขับออฟโรดเข้าป่าใช่ว่าจะเข้ากันได้ตลอดเวลานะ ต้องวางแผนล่วงหน้า ดูว่าชาวบ้านใช้เส้นทางนี้เมื่อไหร่ เก็บเกี่ยวผลผลิตเสร็จแล้วหรือยัง ถ้าไปก่อนหน้านั้น ถนนหนทางเขาก็พังหมด ภาพจำส่วนใหญ่ของการไปหาเด็กดอย คนกะเหรี่ยง คือในจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย แต่ที่จริงแล้วกาญจนบุรี สุพรรณบุรี ราชบุรีก็มีเหมือนกัน
อยู่แค่เพียงข้ามวัน พอสว่างรุ่งสางก็ต้องจาก
ต่างต้องออกเดินทาง ไปอีกไกลแสนไกล
คิดว่าเป็นเพราะความเหลื่อมล้ำไหมที่ทำให้ยังมีชาวบ้านในป่าลึกอยู่
ตอนแรกเราก็คิดอย่างนั้นนะ แต่พอได้ไปคุยกับเขาก็เริ่มเข้าใจวิถีชีวิตมากขึ้น บางชุมชนที่อยู่ลึกๆ ก็มีความสบายเข้าถึงได้ แค่พวกเขาขอว่าอย่าเอาเข้าไปได้ไหม เขาไม่อยากให้วิถีชีวิตเปลี่ยนไป เราถูกอัดใส่หัวมาโดยตลอดว่าชาวกะเหรี่ยงชอบทำไร่เลื่อนลอย ถางดินเสียจนหมดเขา แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ อย่างเขาลูกนี้แดดจะส่องถึงในช่วงต้นปี เขาก็ทำพืชที่รับแดดฤดูกาลนี้ หลังหมดฤดูกาลที่แดดไปส่องฝั่งอื่น เขาก็เปลี่ยนชนิดพืช ชาวบ้านเขาล่าสัตว์อยู่แล้ว แต่มันไม่ใช่ความคึกคะนองแบบเจอสัตว์ก็ยิงทิ้ง
พอมีกฎกติกาเข้ามา ถูกตราหน้าว่ารุกรานหาของป่า ทั้งที่เขาอยู่กันมาเป็นวิถีชีวิต เก็บหน่อไม้ เก็บรังผึ้งตั้งแต่เด็ก ทั้งที่คนรุกรานหาของป่าคือคนตัดไม้ทำลายป่า หาผลประโยชน์เข้าตัวเอง แต่พอเป็นกฎหมายแล้วก็ถูกตีรวมกันไป อะลุ้มอล่วยไม่ได้ สิ่งที่ยากคือต้องพยายามหาตรงกลางให้เข้าใจ ทำให้คนไม่มาฉกฉวยโอกาสจากป่า
รถออฟโรดดีกับการเข้าป่าอย่างไร
มันช่วยลดความเสี่ยง อย่างในหมู่บ้านลึกๆ ถ้าใช้รถอื่นก็เข้าไปไม่ได้เลย แล้วมันก็ขนของได้เยอะ ล่าสุดเราเพิ่งไปฐานตำรวจตระเวนชายแดนมา เป็นฐานที่ถนนไม่ได้ใช้งานเลย เพราะใช้เฮลิคอปเตอร์ในการบินขนส่งอย่างเดียว แต่มันเกิดอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตก เขาก็ออกคำสั่งงดบินจนกว่าทุกอย่างจะพร้อม ต้องเปลี่ยนเป็นการเดินเท้าแทนทำให้การสับเปลี่ยนกำลังพลช้าลงไปอีก เขาก็ขอกำลังคนขับรถออฟโรดช่วยขนเสบียงขึ้นไปให้ เราก็ไปเข้าร่วมช่วย มันทำให้ไปได้เร็ว ในทุกวินาทีที่เราช้า มันต้องนึกตลอดว่าไม่ได้ มีคนที่รอกลับบ้านไปเจอญาติพี่น้องเขาอยู่
มีคนเคยมาว่าเราเรื่องการขับออฟโรดเข้าป่าไหม
มี แต่ทางป่า ทางของชุมชนที่เขาใช้กันประจำก็ไม่ไปหรอก ไปแค่ในทางเที่ยวออฟโรด เราเข้าไปในป่าที่ช่องถนนไม่ถึง 2 เมตร เจอต้นไม้ เจอเนินก็หักเลี้ยว ทำลายให้มันน้อยที่สุด ในความคิดเห็นส่วนตัวนะ บางที่ถูกใช้ที่ดินป่าไปเป็นสิบไร่ เนินภูเขาถูกเกลี่ยให้เรียบ โค่นต้นไม้จนหมด ทำเป็นทางขี่รถขึ้นไปลานกางเต็นท์ แต่กลับบอกกันว่าไม่ใช่การทำลายป่า อย่างเราขอเลาะเข้าไป 2 เมตรก็บอกเราทำลายป่า ยอมรับได้ว่าทำลายบ้าง ปล่อยมลพิษบ้าง แล้วในเมืองที่ขับรถพ่นควันกัน ปลูกต้นไม้ทดแทนเพื่อซึมซับมลพิษจากคาร์บอนไดออกไซด์ เอ้า! เราเปล่ายกหางตัวเอง แค่มีแย้งอยู่ในใจ
รับฟังแต่ไม่ตัดสินแล้วกัน ถ้ามีใครมายืนต่อว่าเรื่องนี้ก็จะครับ ขอโทษครับ (หัวเราะ) เพราะเราเถียงไม่ได้อยู่แล้ว ต้องประสานงานก่อนนะว่าที่ไหนไปได้บ้าง คนขับออฟโรดที่ทำดีบ้างทำเสียบ้างก็มี ไม่เกรงใจก็มี แต่แล้วเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าเราเป็นคนขับออฟโรดที่ดี
การขับออฟโรดมันอันตรายนะ บางที่ขวาซ้ายเป็นเหว ไม่กลัวตายเหรอ
เราคิดนะว่าถ้าวันหนึ่งเข้าไปเกิดอุบัติเหตุแล้วตาย ถือว่ารนหาที่เองแล้วกัน (หัวเราะ) ถ้าคนจะปรามาสว่ารนหาที่เองก็โอเค เรายอมรับ
ความสุขของการขับออฟโรดคืออะไร
ได้นั่งอยู่หลังพวงมาลัย มีชีวิตเพื่อใช้ชีวิตเลย อย่างไปเล่นคอนเสิร์ตในทางดินก็จะขับไปนะ บางทีขับรถ 400 กิโลเมตรบนถนนเรียบ แต่แลกกับการได้ขับทางดิน 10 กิโลเมตร เราก็มีความสุขแล้ว สนองจิตวิญญาณตัวเองไป
ก่อนลา ก่อนจะผ่านคืนนี้
แค่ได้มีความสุข แค่นี้ก็มีแรงใจ
เข้าป่าแต่ละครั้งได้อะไรที่แตกต่างกันไหม
เขาจะมีคำพูดที่ว่าเหนื่อยแทบตายเพื่อไปเจอรางวัลปลายทาง บางวันเราขับรถแทบตายเพื่อขึ้นไปอยู่บนยอดเขาที่มีหมอก เห็นต้นไม้ใหญ่แปลกๆ พบเจอชาวบ้าน ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกัน สัญญากันไว้ว่าจะกลับไปหาใหม่ อยากได้อะไรก็จะหามาให้ คนที่ยังอยู่ตรงนั้นก็เฝ้ารอ เมื่อเราทำตามสัญญาใจสำเร็จ กลับไปหาเขาได้ก็เป็นสุข
การเข้าป่าส่งอิทธิพลต่อการทำเพลงของวสันต์มากแค่ไหน
ส่งผลมากเลย เรามีความสุขขึ้น ไม่ได้เขียนเพลงด้วยความกดดัน ระหว่างที่เขียนก็จะนึกถึงมวลบรรยากาศตอนนั้น อย่างเพลงก่อนลาก็มาจากการเดินทางเหล่านี้ เราตั้งคอนเซปต์ไว้ว่าเป็นเพลงรัก แต่ไม่ใช่รักแบบหนุ่มสาว หรือรักที่คาดหวังต่อกัน มาจากการไปเที่ยว ไปงานดนตรี เข้าป่าแล้วได้เจอคนแปลกหน้า อยู่ด้วยกันหนึ่งวัน กินข้าวกินปลาด้วยกัน รู้ว่าวันพรุ่งนี้ก็กลับแล้วนะ แต่เดี๋ยวไว้จะกลับมาเจอกันใหม่
หลังจากนี้อยากไปป่าไหนอีก
ทุ่งใหญ่นเรศวร คิดว่าน่าจะเป็นความฝันของคนขับออฟโรดหลายๆ คน เพราะเป็นผืนป่ามรดกโลก เป็นป่าปิดที่เปิดให้เข้าปีละหนึ่งครั้ง ต้องทำเรื่องเข้มงวดเลยกว่าจะเข้าไปได้ ในนั้นจะมีแต่เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า นักวิจัยที่ทำการศึกษาสัตว์อยู่ เขาจะเปิดให้รถออฟโรดเข้าไปทำบุญ ทอดกฐิน ตามประเพณีของชาวกะเหรี่ยงข้างในนั้น
จะขับออฟโรดไปจนถึงอายุเท่าไหร่
คำถามนี้ตอบยาก รุ่นพี่หลายคนก็คิดกันไว้ว่าจะไม่เลิกขับ แต่พอมีหลายอย่างในชีวิต เขาก็วางมือไป ตอนนี้เรายังมีไฟอยู่ อยากชดเชยชีวิตที่หายไปด้วยความชอบนี้ เอาง่ายๆ นะ ขออนุญาตใช้คำว่าเราเป็นคนมีชื่อเสียงแล้วกัน (หัวเราะ) เราได้รับการสปอยล์จากสังคมเยอะ ไปกินข้าวทีหนึ่ง คนก็จะหลีกให้จอดรถหน้าร้านเพราะวสันต์มา ไม่ต้องต่อคิวก็ได้ บางครั้งมันทำให้เราเหลิงจนเสียนิสัย เสพติดการสปอยล์ แต่พอเข้าป่าก็กลายเป็นคนธรรมดาที่ชื่อเสียงไม่มีผลอะไรกับเราเลย เขาจะไม่พูดว่าเราเป็นวสันต์ จะบอกแค่ไอ้หนุ่มตัวสูงๆ มันมาเที่ยวป่า นี่เป็นสิ่งที่เราใฝ่ฝัน อยากเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง แต่เราก็ยังจะทำเพลงอยู่ อาจจะเริ่มเขียนเพลงเพื่อสนับสนุนคนต่อไป เพราะความฝันมันทำให้ความจริงของเราแข็งแรงแล้ว
คิดว่าตัวเองเป็นคนรักป่าหรือเปล่า
คำว่ารักป่าคำจำกัดเป็นอย่างไร ถ้าเป็นการต้องหวงแหน พิทักษ์ไว้ เราก็ยังใช้คำนั้นได้ไม่สมบูรณ์ เราชอบมากกว่า ชอบเอาตัวเองไปอยู่ท่ามกลางป่า ได้ยินเสียงใบไม้พัดเท่านั้นก็พอแล้ว
“รู้ไหม เราจำวสันต์ได้จากสีผมเลยนะ” เราพูดแซวเขาถึงภาพจำแจ่มแจ้งในหัว
เขาหัวเราะตาหยี “ไม่ได้ย้อมนะ ผมสีนี้ตั้งแต่เกิดเลย มีคนมาอวดว่าเนี่ย! ไว้สีไฮไลต์ตามพี่ด้วย เราบอกไม่ใช่ๆ มันเป็นเอง”
ดูเหมือนเป็นความลับที่เพิ่งถูกล้วง เพราะน้อยคนนักจะรู้ “ว่าแต่อายุเท่าไหร่แล้ว”
“35 ปี แต่ทุกวันนี้ใช้ชีวิตเหมือนคนแก่เลย ชอบปลีกวิเวกเข้าป่า” ขณะวสันต์พูด เรากวาดตามองเขาจนทั่ว ชายในเสื้อยืดธรรมดา กางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบ กระเป๋าย่ามที่ไม่รู้ว่าข้างในซ่อนป่าไว้ผืนหนึ่งหรือเปล่า แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ไม่มีเครื่องประดับชิ้นใดให้เราได้พรรณนาถึง
วสันต์อาจรักที่ตัวเองเป็นคนธรรมดา แต่แน่นอนเลยว่าใครก็ตามที่เคยได้ยินเสียงนกร้องในเพลงของเขา คงจะจำได้ขึ้นใจว่าเขาคือวสันต์ 17
ก่อนจะเอ่ยคำลาให้บทสนทนากับหนุ่มชาวสวนในบ่ายวันพฤหัส วสันต์ทำให้เรารู้สึกอย่างหนึ่ง “ไม่ว่ายังไง เรายังจะกลับมาพบกัน” เพราะเราเองก็ชอบป่า และเพลงของเขาไม่แพ้กัน