ถึงเวลารื้อระบบการศึกษาไทยพัฒนาทุนมนุษย์ไทย ไม่ตอบโจทย์อนาคต
60 ปีผ่านไปวันนี้กระทรวงศึกษาฯ และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม(อว.) มีงบประมาณเกิน500,000 ล้านบาท ไปแล้ว มากกว่าหลายประเทศในยุโรป และประเทศใน OECD ที่มีคุณภาพการศึกษาดีที่สุดในโลก แต่คุณภาพการศึกษาไทยดิ่งเหวสวนทางกับงบประมาณที่สูงขึ้นทุกปี นี่ยังไม่นับอัตราการเกิดของเด็กไทยที่ลดลงเรื่อย ๆ การใช้งบประมาณอย่างไร้ประสิทธิภาพ เป็นแหล่งทุนสีเทาให้กับเหลือบไรที่เกาะกินระบบการศึกษาไทย เกิดคดีทุจริตประพฤติมิชอบมากมายอยู่ในศาล
การศึกษาไทยที่ถอยหลัง มีผลให้คะแนนIMD ความสามารถการแข่งขันของชาติลดลงเรื่อย ๆ ในขณะที่เพื่อนบ้านเร่งเครื่องพัฒนาทุนมนุษย์เป็นวาระเร่งด่วนของชาติ
จีน เร่งการศึกษาด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่ AI IOT สร้างนวัตกรรมแห่งอนาคตออกมามากมาย และพัฒนาต่อยอดไปเรื่อย ๆ บวกกับพัฒนาการศึกษาด้านการเป็นพ่อค้าซึ่งเดิมดีอยู่แล้ว ให้ก้าวกระโดดด้วยหลักสูตรผู้ประกอบการดิจิทัล
อินเดีย พัฒนาการศึกษาเรื่อง Digital กับ Global ให้กับเด็ก ๆ ยุคใหม่ให้ก้าวล้ำสู่ตลาดโลก ใช้แรงงานดิจิทัล ดึงดูดผู้ประกอบการ IT ทั่วโลกให้มาตั้งฐานในอินเดีย และส่งบุคลากรที่มีความรู้ด้านเทคโนโลยีจำนวนมากไปเป็น CEO และผู้บริหารบริษัทชั้นนำ ทำงานได้ทั่วโลก บุคลากรดิจิทัลเก่ง ๆ ของบริษัทชั้นนำส่วนใหญ่เป็นคนอินเดีย
เวียดนาม ส่งเสริมการเรียนรู้เรื่องการค้าขาย การเป็นผู้ประกอบการ สร้างนิสัยความขยันขันแข็ง มุมานะ อดทน แข่งขันกับเพื่อน ๆ และแข่งขันกับตัวเอง เด็ก ๆ ในเวียดนามตื่นแต่เช้าออกไปขายของก่อนไปโรงเรียน ในเวลาเรียนก็เสริมด้วยหลักสูตรวิทยาศาสตร์ AI ที่ใช้งานจริงในการทำธุรกิจ ตกเย็นก็กลับมาช่วยพ่อแม่ขายของ พอค่ำ ๆ ยังเรียนพิเศษในสิ่งที่แต่ละคนสนใจด้วยทุนของตัวเองอีกด้วย ลองคิดดูซิว่าเวลาเท่ากันเด็กไทยทำอะไร
สิงคโปร์ รัฐบาลพัฒนาเมืองให้เป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ เป็นแหล่งเรียนรู้ มีพิพิธภัณฑ์มากมาย มีสวนสาธารณะหลากหลายรูปแบบ มีกิจกรรมการเรียนรู้ตามพื้นที่สาธารณะ รัฐมนตรีศึกษาของเขาบอกว่า “ลดเวลาสอน เพิ่มเวลาเรียน” รัฐมนตรีศึกษาไทยในยุคนั้นบอกว่า “ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้” แต่คุณครูงง ๆ จะปล่อยเด็กกลับบ้านเร็วก็ไม่ได้ ในชุมชนก็ไม่มีแหล่งเรียนรู้ มีแต่ป้ายศูนย์เรียนรู้ที่รกร้างเต็มไปหมด และไม่ได้ออกแบบเพื่อการเรียนรู้อย่างจริงจังเหมือนสิงคโปร์
มาเลเซีย มี Blueprint ด้านการศึกษาชัดเจน เน้นเทคโนโลยีล้วน ๆ Digital Transformation และ Technology Integration ทำแบบนั้นได้ต้องมีแผนทุ่มเทเรื่องพัฒนาครูดิจิทัลครั้งใหญ่ เขาเอาจริงเรื่องการเรียน STEM ทำให้การเรียนวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ เป็นเรื่องง่าย ได้ลงมือทำอย่างสนุกสนาน และที่สำคัญเขาเน้นสหกิจศึกษา เชื่อมโยงอุตสาหกรรมกับอาชีวศึกษาผลิตคนให้ตรงโจทย์การขาดแคลนของอุตสาหกรรม
ญี่ปุ่น ยังคงมุ่งเน้นการศึกษาที่วางรากฐานคุณธรรม จริยธรรม ให้เด็ก ๆ ในชาติ การปลูกฝังเรื่องระเบียบวินัย ความพากเพียร ความอดทน แถมยังต่อยอดพัฒนาการศึกษาด้านนวัตกรรม และความยั่งยืน ให้เป็นนิสัยตั้งแต่เด็ก
กัมพูชา ให้ความสำคัญกับหลักสูตรประวัติศาสตร์ และชาตินิยม ถึงแม้ผู้รู้หลายท่านจะบอกว่าเป็นประวัติศาสตร์
ที่เขียนขึ้นเองไม่ตรงกับความเป็นจริงสวนทางกับไทยที่ไม่ให้ความสำคัญกับวิชาประวัติศาสตร์ เด็ก ๆของเราแทบไม่รู้เลยว่าเรามีรากเหง้ามาอย่างไร ที่สำคัญกัมพูชาเคยคุยว่าเขาบรรจุวิชาความยั่งยืนเข้าไปในหลักสูตรของกระทรวงศึกษาแล้ว เป็นประเทศแรกในอาเซียน ถ้าข่าวนี้ไม่ใช่ Fake News นักการศึกษาของเขาคงจะมีวิสัยทัศน์มากกว่าเรา
เห็นตัวอย่างเล็ก ๆ ของเพื่อนบ้านกันแล้วนะครับ แต่ละประเทศเขาให้ความสำคัญกับการศึกษา และการพัฒนาทุนมนุษย์ มียุทธศาสตร์ แผนงาน และงบประมาณชัดเจน ถ้าเรายังใช้งบประมาณปีละ 500,000 ล้าน แบบสุรุ่ยสุร่าย มีวิธีคิดในกรอบเดิม ๆ มีเหลือบไรสีเทา คอยเกาะกินงบประมาณจนไม่เหลือคนไทยในอนาคต คงจะตามเพื่อนบ้านไม่ทัน
ปฏิรูป หรือปฏิวัติ คงไม่พอ… ถึงเวลาที่จะต้องรื้อระบบการศึกษาไทยใหม่ ให้ทันโลก.