เร่งเกม เปลี่ยน‘ขั้วอำนาจ’ กระชับศึกใน-ปิดจ็อบศึกนอก
เกมการเมืองภายในเริ่มสั่นคลอน อำนาจรัฐในมือ “ตระกูลชินวัตร” สารพัดคดีเดินเข้าสู่เรดโซน กลศึกนอกสัญญา “หยุดยิง” เป็นเพียงลมปาก ทำให้สถานการณ์ความรุนแรงแนวชายแดน ไทย-กัมพูชา ยังไม่มีทีท่าจะจบลงง่ายๆ ทั้งสองปมร้อน จึงอยู่ในสายตาของ“หัวขบวนอนุรักษ์” ที่อาจตัดสินใจเปลี่ยนเกม - เปลี่ยนคน เพื่อกำชับอำนาจใหม่
หากไล่ดูไทม์ไลน์คดีของ “สองนายกฯพ่อลูก” ตามขั้นตอนทางกฎหมาย จะแล้วเสร็จในช่วงปลายเดือน ส.ค. ถึงต้นเดือน ก.ย. ไม่ว่าผลของคำวินิจฉัยจะออกมาในทิศทางใด ย่อมส่งผลต่อ “ขั้วอำนาจ” ทางการเมือง
คดี “ป่วยทิพย์” รักษาตัวชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดอ่านคำพิพากษาในวันที่ 9 ก.ย.2568 โดยมีคำสั่งให้ 2 จำเลย“ทักษิณ ชินวัตร” และผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ต้องเข้าฟังคำสั่งศาล
โดยก่อนหน้านี้ ศาลได้ไต่สวนพยานไป 5 ครั้ง มุ่งเน้นการไต่สวน “ผู้บริหารกรมราชทัณฑ์” สอบถามขั้นตอนการควบคุมตัว เกณฑ์การคุมขังนอกเรือนจำตามกรอบ 30 วัน 60 วัน และ 120 วัน
โฟกัสหลักมุ่งไปที่บันทึกของพยาบาลเวร ที่ขอส่งตัวผู้ต้องขังออกไปรักษานอกเรือนจำ บันทึกของแพทย์โรงพยาบาลตำรวจ ขณะมาตรวจอาการของทักษิณที่ชั้น 14 หรือที่เรียกว่า Progress note บันทึกของพยาบาลที่เฝ้าไข้ หรือที่เรียกว่า Nurse note
พร้อมสอบทานว่า แผนการรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจในแต่ละช่วง แพทย์บันทึกอาการไว้อย่างไร เพื่อเปรียบเทียบกับศักยภาพของทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ และจัดเป็นอาการ “วิกฤติ” หรือ “ฉุกเฉิน” หรือไม่ อย่างไร
พยานปากสุดคือ “วิษณุ เครืองาม” อดีตรองนายกฯ ในฐานะกำกับดูแลกระทรวงยุติธรรมในขณะนั้น ยืนยันว่า “ในช่วงกลางดึกของวันที่ 22 ส.ค. ที่มีการย้ายตัวนายทักษิณเข้ารักษาตัวด่วนที่โรงพยาบาลตำรวจ ตนเองได้ทราบข้อมูลภายหลังจากการส่งตัวแล้ว จากปลัดกระทรวงยุติธรรม ซึ่งตนได้สอบถามว่า ย้ายตัวไปโรงพยาบาลใด ทางปลัดฯ จึงระบุว่าเป็นโรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งก่อนหน้านายทักษิณระบุว่า ต้องการไปโรงพยาบาลย่านพระราม 9 ซึ่งตามระเบียบเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว”
ต้องยอมรับว่าปม “ป่วยทิพย์” สั่นคลอนกระบวนการยุติธรรมไทยอย่างหนัก สร้างความไม่พอใจให้กับ “เครือข่ายอนุรักษ์” ทำให้ “ทักษิณ” อาจต้องรับผลกรรมของตัวเองย้อนหลัง
คดีที่สอง ปมความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ จากกรณี “ทักษิณ” ให้สัมภาษณ์สื่อโทรทัศน์ต่างประเทศที่ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อปี 2558 ซึ่งมีเนื้อหาถูกกล่าวหาว่าพาดพิงดูหมิ่นสถาบัน
โดยคดีดังกล่าว “อัยการสูงสุด” สั่งฟ้อง “ทักษิณ” ไปเมื่อเดือน มิ.ย.2567 จากนั้น “ศาลอาญา” มีคำสั่งให้พิจารณาคดีเป็น“การลับ”มาโดยตลอด อีกทั้งยังเป็นคดีที่วางเงื่อนไขการประกันตัว ห้ามเจ้าตัวออกนอกราชอาณาจักร หากไม่ได้รับการอนุญาต
จนกระทั่งวันที่ 16 ก.ค.2568 ที่ผ่านมา ศาลนัดไต่สวนคดี โดย “ทักษิณ”เข้าเบิกความด้วยตนเอง ก่อนที่ “ทีมทนาย” จะแถลงต่อศาลว่าไม่มีพยานจำเลยเพิ่มเติม ทำให้ศาลจึงมีคำสั่งนัดฟังคำพิพากษาคดีในวันที่ 22 ส.ค.2568 เวลา 10.00 น.
ว่ากันว่า คดี ม.112 “ทักษิณ” ไม่หนักใจเท่าคดี “ป่วยทิพย์” เนื่องจากมั่นใจว่า การให้สัมภาษณ์สื่อเกาหลีใต้ ไม่ได้มีเจตนามุ่งร้ายสถาบันฯ
ตัดกลับมาที่ คดีลูกสาว ปมคลิปเสียงสนทนาระหว่างนายกฯ “แพทองธาร” กับ “ฮุน เซน” ประธานวุฒิสภากัมพูชา โดยศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก (5 ต่อ 4) มีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาออกไปจนถึงวันที่ 4 ส.ค.2568
จากนั้น ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาคดี โดยอาจจะส่งคำชี้แจงของนายกฯ ให้ผู้ร้อง คือ 36 สว.หักล้างข้อชี้แจง ภายใน 15 วัน อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่า สว.จะส่งคำชี้แจงข้อหักล้างของ“แพทองธาร”ก่อนกำหนด เพื่อเร่งขั้นตอนระยะเวลาให้ศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยเร็วขึ้น โดยคาดการณ์ว่า คดีดังกล่าวอาจแล้วเสร็จ เร็วสุดก่อนกลางเดือน ก.ย.
ทั้ง 3 คดีของ “พ่อ-ลูกชินวัตร” เป็นเดิมพันครั้งใหญ่ของ “ทักษิณ - แพทองธาร - พรรคเพื่อไทย” เนื่องจาก “หัวขบวนอนุรักษ์” จับตาการบริหารอำนาจของ “เครือข่ายบ้านจันทร์ส่องหล้า” ทุกฝีก้าว มีหลายปมที่สุ่มเสี่ยงจะเป็นโทษ และมีน้อยปมที่เป็นคุณ
ยิ่งในสถานการณ์ศึกไทย-กัมพูชา ไม่มีทีท่าจะสงบลงได้ง่ายๆ ฉะนั้น จึงต้องจับตา การริบอำนาจจาก“ตระกูลชินวัตร” หวังปิดจ็อบศึกนอก และกระชับอำนาจศึกใน อาจอยู่ในสมการที่“หัวขบวนอนุรักษ์”วางหมากเอาไว้