จีนกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายการคลังที่เน้น ‘รัฐสวัสดิการ’
มีสัญญาณชัดเจนว่ารัฐบาลจีนเริ่มปรับเปลี่ยนนโยบายการคลังครั้งสำคัญโดยให้ความสำคัญ "การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน" น้อยลงและให้น้ำหนักกับรายจ่ายด้าน "สวัสดิการสังคม" มากขึ้น การเปลี่ยนแปลงในลักษณะนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนอย่างน้อยในหนึ่งชั่วชีวิตคน บทวิเคราะห์ "China Social Spending Hits Highest Level in Nearly 2 Decades" ระบุไว้ว่า จุดประสงค์ของรัฐบาลจีนคือเพื่อกระตุ้นการบริโภคภาคในประเทศและรับมือกับผลกระทบจากนโยบายภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีทรัมป์
รายจ่ายสวัสดิการสังคมเพิ่มขึ้นแซงหน้าโครงสร้างพื้นฐาน
ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2025 รายจ่ายที่ครอบคลุมด้านการศึกษา การจ้างงาน และประกันสังคมจีนเพิ่มขึ้นถึง 5.7 ล้านล้านหยวน (7.95 แสนล้านดอลลาร์) ซึ่งสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มเก็บข้อมูลในปี 2007 หรือเพิ่มขึ้นกว่า 6.4% จากปีก่อนหน้า การเพิ่มขึ้นนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการสร้างความมั่นคงทางสังคมท่ามกลางความผันผวนของระเบียบการค้าโลก
ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายสวัสดิการสังคมเพิ่มขึ้นเร็วกว่าค่าใช้จ่ายรวมของรัฐบาลเกือบสองเท่า ซึ่งเป็นสัญญาณชัดเจนว่าสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนกำลังเปลี่ยนมาเน้นการดูแลประชาชนมากกว่าเดิม
ในทางตรงกันข้าม ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งรวมถึงการป้องกันสิ่งแวดล้อม สิ่งอำนวยความสะดวกด้านการชลประทาน และการขนส่ง ลดลง 4.5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า การเปลี่ยนแปลงนี้แสดงให้เห็นถึงการปรับกลยุทธ์จากการพึ่งพาการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเป็นหลักไปสู่การสนับสนุนความต้องการภายในประเทศ
นโยบายใหม่: เงินสนับสนุนการเลี้ยงดูเด็ก
รายละเอียดโครงการ
รัฐบาลจีนได้ประกาศโครงการให้เงินสนับสนุนการเลี้ยงดูเด็กทั่วประเทศ โดยจะจ่ายเงิน 3,600 หยวนต่อปีสำหรับเด็กแต่ละคนที่มีอายุต่ำกว่าสามปี โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อจูงใจให้คู่รักมีบุตรมากขึ้น ซึ่งเป็นการตอบสนองต่อปัญหาอัตราการเกิดที่ลดลงของประเทศ
สถาบันการเงินชั้นนำได้ประเมินต้นทุนของโครงการนี้ไว้แตกต่างกัน:
- ซิตี้ กรุ๊ป (Citigroup) ประเมินว่าจะมีการจ่ายเงินก้อนรวม 1.17 แสนล้านหยวนในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2025
- มอร์แกน สแตนลีย์ (Morgan Stanley) คาดการณ์ต้นทุนประจำปีของโครงการที่ 1 แสนล้านหยวน โดยสมมติฐานว่ามีการเกิดประมาณ 9 ล้านคนต่อปี
ความท้าทายด้านการจ้างงาน
ขณะเดียวกัน สถานการณ์การจ้างงานของจีนกำลังเผชิญกับแรงกดดันอย่างมาก การสำรวจของธนาคารกลางจีน (PBOC) แสดงให้เห็นว่าดัชนีความเชื่อมั่นด้านการจ้างงานอยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในไตรมาสที่สอง ซึ่งสะท้อนถึงความจำเป็นในการให้ความช่วยเหลือจากรัฐบาลแก่ผู้หางาน
การใช้จ่ายด้านประกันสังคมและการจ้างงานเพิ่มขึ้นเกือบ 8% ในช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดในหมวดการใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการประชาชน นอกจากการจ้างงานและประกันสังคมแล้ว รัฐบาลยังเพิ่มการใช้จ่ายในด้านอื่นๆ ได้แก่การศึกษาเพิ่มขึ้น 5.9% และการรักษาพยาบาลและสุขภาพเพิ่มขึ้น 4%
รายได้ของรัฐบาลจีนจากภาษีเพิ่มขึ้นในอัตราที่น้อยลง
สำหรับปัญหาหลักของเศรษฐกิจจีน การชะลอตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ยาวนานส่งผลกระทบอย่างมากต่อรายได้ของรัฐบาล รายได้จากภาษีที่เกี่ยวข้องกับอสังหาฯ รวมถึงภาษีโอนกรรมสิทธิ์และภาษีการใช้ที่ดินในเมืองลดลง 5.6% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า มีมูลค่า 9.753 แสนล้านหยวนในช่วงครึ่งปีแรก
รายได้จากการขายที่ดินของรัฐบาลท้องถิ่นอยู่ที่ 1.43 ล้านล้านหยวน ซึ่งหดตัว 6.5% แม้จะมีการฟื้นตัวกว่า 20% ในเดือนมิ.ย.จากการฟื้นตัวของตลาดในเมืองใหญ่บางแห่ง นักเศรษฐศาสตร์จากโกลด์แมน แซกซ์ (Goldman Sachs) เตือนเกี่ยวกับความยั่งยืนของการปรับตัวดีขึ้นของรายได้จากการขายที่ดิน และยังคงคาดการณ์ว่ารายได้จากการขายที่ดินของรัฐบาลอาจลดลงเพิ่มเติมในปีนี้ถึง 10%
รายได้จากที่ดินของรัฐบาลน้อยลง
ขณะที่รายได้ภาษีรวมหดตัว 1.2% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าในช่วงครึ่งปีแรก มีมูลค่า 9.29 ล้านล้านหยวน โดยรายได้จากภาษีธุรกรรมต่างๆ เช่น การซื้อรถยนต์ ลดลงเป็นเลขสองหลัก ส่วนรายได้นอกเหนือจากภาษี ซึ่งรวมถึงค่าชดเชยการใช้ทรัพยากรและสินทรัพย์ที่รัฐควบคุม และค่าปรับ เพิ่มขึ้น 3.7% เป็น 2.27 ล้านล้านหยวน
ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมยานยนต์
รายได้จากภาษีการซื้อรถยนต์ลดลง 19.1% ในช่วงม.ค.-มิ.ย.เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดในหมวดหมู่ทั้งหมด และการลดลงของภาษีซื้อรถยนต์ในปี 2025 รุนแรงกว่าปี 2024 มากกว่าสามเท่า
การลดลงของรายได้จากภาษีการซื้อรถยนต์แสดงให้เห็นถึงผลกระทบจากการตัดสินใจของรัฐบาลที่จะขยายการระงับภาษีการซื้อรถยนต์พลังงานใหม่ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า ไปจนถึงปี 2027 การเปลี่ยนแปลงจากรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงยังส่งผลกระทบต่อรายได้จากภาษีการบริโภคโดยการลดความต้องการน้ำมันเบนซินและดีเซล
นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ หวงชวง (Huachuang Securities) ประเมินว่ารัฐบาลจีนเสี่ยงสูญเสียรายได้รวม 2.65 แสนล้านหยวนต่อปีจากภาษีการซื้อรถยนต์และภาษีการบริโภคเนื่องจากการเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานทางเลือก
รัฐบาลจีนเปลี่ยนกลยุทธ์การกู้เงิน
รัฐบาลท้องถิ่นได้ชะลอการกู้เงินเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน โดยจังหวัดต่างๆ ออกหุ้นกู้เพื่อการลงทุนแค่ 56% ของที่รัฐบาลกลางอนุญาต ลดลงจากค่าเฉลี่ยที่ 61% ในช่วงเดียวกันของห้าปีก่อนหน้า ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไม่เน้นการสร้างสิ่งก่อสร้างใหม่เหมือนเดิม
แทนที่จะให้ท้องถิ่นกู้เงินไปสร้างโครงการใหม่ รัฐบาลกลางกลับเป็นคนออกหุ้นกู้เองเพื่อจุดประสงค์สองหลัก คือ เติมเงินในกระเป๋ารัฐ สำหรับจ่ายค่าใช้จ่ายประจำวัน และ ช่วยจังหวัดต่างๆ จัดการหนี้เก่า ที่เรียกว่า "หนี้ซ่อน" ซึ่งสะสมมานานและกำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ของระบบการเงินท้องถิ่น
ภาพด้านบนจากสำนักข่าวบลูมเบิร์ก ยืนยันการเปลี่ยนแปลงจาก "ให้ท้องถิ่นกู้เงินไปสร้างโครงการใหม่" เป็น "รัฐบาลกลางกู้เองเพื่อจ่ายค่าใช้จ่ายประจำและแก้ปัญหาหนี้เก่า"
บทวิเคราะห์ของบลูมเบิร์ก สรุปว่า ลักษณะการกู้ยืมของรัฐบาลจีนครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า สี จิ้นผิง พยายามกู้เงินเข้ามาเพื่อเพิ่มกระสุนทางการคลังที่เหลือน้อยลงจากภาวะตกต่ำของอสังหาริมทรัพย์ที่ยาวนานของจีน
ทั้งนี้ แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงนโยบาย แต่จีนยังคงดำเนินโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ โครงการเขื่อนขนาดใหญ่มูลค่า 1.2 ล้านล้านหยวนในทิเบตได้เริ่มก่อสร้างในเดือนนี้ ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่จะใช้เวลาหลายปีในการดำเนินการให้แล้วเสร็จ
ผู้เชี่ยวชาญจากโอซีบีซี (OCBC) ระบุว่า "พื้นที่สำหรับการขยายโครงสร้างพื้นฐานในอนาคตจะลดลงเล็กน้อย" แม้ว่าจะยังสามารถมี "บทบาทสนับสนุนเศรษฐกิจในช่วงเวลาวิกฤต"