"สายพันธุ์ต่างถิ่น" ระเบิดเวลาที่ไทยสะสมไว้ทั่วประเทศ
การถกเถียงอย่างเข้มข้นกว่า 1 ปีที่ผ่านมา เกี่ยวกับปลาหมอคางดำ (Blackchin tilapia) ที่ดูเหมือนจะกลายเป็น “เป้า” ด้านสิ่งแวดล้อมในช่วงปีที่ผ่านมา หากมองรอบด้านอย่างรอบคอบในฐานะสังคมที่มีวิจารณญาณก็จะอนุมานได้ว่า "ปลาหมอคางดำก็แค่เหยื่อ" เกิดคำถามว่าปลาหมอคางดำ คือ ปัญหาสิ่งแวดล้อมเพียงเรื่องเดียวจริงหรือไม่? ข้อมูลที่สังคมกำลังยึดถือ ถูกต้องครบถ้วนแล้วหรือยัง? หากไม่ใช่..เหตุใดสายพันธุ์ต่างถิ่นอื่นๆ ที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศในระดับเดียวกันหรือมากกว่า แทบไม่มีใครกล่าวถึง
ปลาหมอบัตเตอร์, ปลาหมอมายัน, ปลาปิรันยา, ปลาซัคเกอร์, อีกัวน่า, นกพิราบ, ปลาดุกอัฟริกัน, หอยเชอรี่, ผักตบชวา, ผักกระฉูด ไปจนถึงไมยราบยักษ์ ล้วนเป็นสายพันธุ์ต่างถิ่นที่มีการแพร่ระบาดในประเทศไทยทั้งสิ้น และล้วนมีบันทึกถึงความเสียหายทางนิเวศหรือเศรษฐกิจในระดับต่างกัน แต่แทบไม่เคยได้รับการหยิบยกอย่างจริงจังในเวทีสาธารณะ หรือเป็นประเด็นเคลื่อนไหวจากภาคประชาสังคม หรือองค์กรสิ่งแวดล้อมแบบที่ปลาหมอคางดำกำลังเผชิญ เพียงเพราะสัตว์อื่นๆ “ไม่มีเจ้าภาพนำเข้าเป็นตัวเป็นตน”
ความจริงบางตัวอย่าง เช่น ผักตบชวาแพร่ระบาดในแหล่งน้ำไทยตั้งแต่ปี 2444 ถึงวันนี้ล่วงเลยมา 124 ปี ก็ยังกำจัดผักตบชวาในแม่น้ำลำคลองไม่หมดและยังคงเป็นปัญหาถึงปัจจุบัน ขณะที่ปลาหมอบัตเตอร์ในเขื่อนสิริกิติ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ พบตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546 มีพฤติกรรมดุร้าย กินปลาไข่และปลาท้องถิ่น แพร่พันธุ์ได้รวดเร็ว จับได้ 70-80% ในเขื่อนและอ่างเก็บน้ำ แต่สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ สังคมกลับเพิกเฉย บางกลุ่มถึงขั้นไม่เปิดเผยข้อมูลหรือพยายามลดทอนความสำคัญของปัญหานี้
บทเรียนจากอดีตสะท้อนให้เห็นว่า ประเทศไทยเสียหายจากการแพร่ระบาดของพืชและสัตว์ต่างถิ่นมาแล้วนับไม่ถ้วน เสียงบประมาณนับพันล้านบาทช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ที่ถูกใช้ไปกับการควบคุม กำจัด เยียวยา และฟื้นฟู โดยแลกมากับการหายไปของสัตว์และพืชพื้นถิ่นอย่างไม่อาจประเมินค่าได้ เพียงแต่ใครจะเลือกพืชหรือสัตว์ชนิดใดเป็นเป้าหมายในการสร้างกระแส
นักวิชาการด้านความหลากหลายทางชีวภาพชี้ว่า การแพร่กระจายของสายพันธุ์ต่างถิ่นในประเทศไทยเริ่มต้นมาจากสองปัจจัยหลัก คือ 1. การลักลอบนำเข้าหรือการติดมากับสินค้าจากต่างประเทศ เช่น หนอนตัวแบนนิวกีนีที่อาจติดมากับดินกล้วยไม้นำเข้า และ 2. การเคลื่อนย้ายโดยมนุษย์ หรือ การแพร่กระจายตามธรรมชาติ เช่น นกพิราบที่ขยายพันธุ์ต่อเนื่องในเขตเมือง
อีกหนึ่งปัจจัยที่ไม่อาจมองข้ามได้ คือ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภาวะโลกรวน ส่งผลต่อปรากฎการณ์ธรรมชาติหลายด้าน ทั้งปะการังฟอกขาว น้ำทะเลอุ่นขึ้น น้ำท่วมฉับพลัน แผ่นดินไหว ไฟป่าจากภัยแล้ง ล้วนกระทบต่อสมดุลธรรมชาติและแหล่งผลิตอาหารของมนุษย์ทั้งสิ้น การวิจัยและพัฒนาจำเป็นต้องเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศและเพิ่มแหล่งอาหารให้เพียงพอกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของประชากรโลก สร้างความั่นคงทางอาหารอย่างระมัดระวังโดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเพิ่มเติม
ส่วนกรณีของสายพันธุ์ต่างถิ่นที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจอาจมีความชอบธรรมในการส่งเสริม แต่ต้องอยู่ภายใต้ระบบควบคุมที่เข้มงวด โดยเฉพาะการป้องกันไม่ให้หลุดรอดสู่แหล่งธรรมชาติ เพราะแม้จะไม่ได้อยู่ในพื้นที่อนุรักษ์ ผลกระทบต่อสายพันธุ์พื้นเมืองก็ยังสามารถเกิดขึ้นได้อย่างร้ายแรง
เราจึงจำเป็นต้องพิจารณาปัญหานี้อย่างเป็นระบบมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน การบริหารจัดการสายพันธุ์ต่างถิ่นต้องได้รับงบประมาณและการผลักดันอย่างจริงจัง พร้อมกลไกการตรวจสอบการนำเข้าให้โปร่งใส การบัญญัติกฎหมายเฉพาะ การเฝ้าระวัง ติดตาม และการให้ความรู้กับสาธารณชนอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่เลือกกระแส
การใช้ข้อมูลตามหลักวิทยาศาสตร์ เหตุผล และความรอบด้าน คือ วิธีเดียวที่ไทยจะไม่ซ้ำรอยเดิมในการจัดการสิ่งแวดล้อมของประเทศ และเพื่อให้การตัดสินปัญหาระบบนิเวศ ถูกต้องและแม่นยำ จับต้องได้จริงตามหลักนิติธรรม ไม่ใช่เพียงคำเรียกร้องที่ตกอยู่ภายใต้แรงกระเพื่อมของอารมณ์และการสร้างกระแสชั่วคราว
โดย : ชาญศึก ผดุงความดี นักวิชาการอิสระ