ก้าวแรกลดหย่อนภาษีติดโซลาร์รูฟ ผู้บริโภคหวังแรงขับเคลื่อนต่อ
จากที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปในที่อยู่อาศัยเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2568 หวังเร่งให้ภาคครัวเรือนลงทุนในพลังงานแสงอาทิตย์มากขึ้น ท่ามกลางแนวโน้มค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้น และความตื่นตัวด้านพลังงานสะอาดของประชาชน
ตามมาตรการ ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัย (ประเภทที่ 1) ที่มีเงินได้ตามมาตรา 40 (1)–(8) และติดตั้งระบบโซลาร์แบบ On-grid ไม่เกิน 10 กิโลวัตต์ สามารถใช้สิทธิหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 200,000 บาท ทั้งนี้ ต้องมีเอกสารประกอบครบถ้วน และมาตรการจะมีผลบังคับใช้เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งยังอยู่ระหว่างดำเนินการโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
แม้จะเป็นก้าวแรกที่ชัดเจนในการส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปในระดับครัวเรือน แต่มาตรการภาษีกลับยังไม่ใช่คำตอบหลักที่ผู้บริโภคต้องการ จากผลสำรวจของ SCB EIC ช่วงต้นปี 2568 พบว่า แม้ 80% ของกลุ่มตัวอย่าง 2,257 รายแสดงความสนใจติดตั้ง แต่ยังไม่ตัดสินใจ เนื่องจากภาระค่าใช้จ่ายยังสูง โดยผู้บริโภคต้องการ “เงินอุดหนุนค่าติดตั้ง” มากกว่าลดหย่อนภาษี
ผลสำรวจยังพบว่า ความต้องการของผู้บริโภคเรียงลำดับดังนี้
- เงินอุดหนุนค่าติดตั้ง 26%
- ลดหย่อนภาษี 20%
- ปลดล็อกการขายไฟฟ้าเสรี 15%
- ขายไฟส่วนเกินในราคาปลีก 13%
- ระบบติดตั้งราคาถูก 14%
- ลดความยุ่งยากในการขออนุญาต 12%
สะท้อนว่าผู้บริโภคคาดหวัง “แพ็กเกจนโยบาย” ที่ครบทั้งด้านต้นทุน การเข้าถึงระบบ และผลตอบแทนจากการผลิตไฟ
ขณะเดียวกัน ยังมีอุปสรรคสำคัญ 3 ประการที่ขวางการตัดสินใจติดตั้ง ได้แก่
- ความไม่ชัดเจนในการเลือกผู้ให้บริการ ประชาชนไม่สามารถตรวจสอบคุณภาพหรือเปรียบเทียบราคาได้ง่าย
- ข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ผู้ติดตั้งกว่า 50% ยังต้องลงทุนด้วยเงินสด
- ขั้นตอนขออนุญาตที่ยุ่งยาก จากการติดต่อหน่วยงาน การเตรียมเอกสาร ไปจนถึงการนัดตรวจสอบสถานที่
ทั้งนี้ SCB EIC ได้เสนอ 3 แนวทางที่รัฐควรดำเนินการในระยะสั้น เพื่อเสริมมาตรการภาษี ได้แก่
- จัดทำระบบรับรองคุณภาพอุปกรณ์และผู้ให้บริการแบบสมัครใจ
- สนับสนุนเงินอุดหนุนหรือลดดอกเบี้ยสินเชื่อสำหรับติดตั้ง
- จัดตั้งศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (One-stop service) เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการขออนุญาต
ส่วนในระยะยาว รัฐสามารถออกมาตรการเพิ่ม เช่น เปิดเสรีการขายไฟฟ้าในระดับครัวเรือน และรับซื้อไฟส่วนเกินในอัตราราคาขายปลีก (Net-metering) เพื่อสร้างแรงจูงใจที่มีผลในเชิงพฤติกรรม
ด้านภาคเอกชนก็มีบทบาทสำคัญในการผลักดัน เช่น การสร้างความน่าเชื่อถือของผู้ให้บริการ การพัฒนาสินเชื่อเฉพาะกิจร่วมกับธนาคาร และการให้บริการดำเนินการขออนุญาตแทนผู้บริโภค รวมถึงเสนอราคาติดตั้งและอุปกรณ์ที่แข่งขันได้
แม้ประเทศไทยมีศักยภาพผลิตไฟจากโซลาร์รูฟท็อปสูงถึง 121,000 เมกะวัตต์ แต่ในปี 2022 กลับติดตั้งได้เพียง 1,893 เมกะวัตต์ หรือ 1.6% ของศักยภาพทั้งหมด มาตรการภาษีจึงอาจเป็นเพียงก้าวแรก หากแต่ยังไม่ใช่ “เครื่องมือเดียว” ที่จะเร่งเปลี่ยนหลังคาบ้านทั่วไทยให้กลายเป็นแหล่งพลังงานสะอาดอย่างแท้จริง