MOODY: พลาดหนึ่งครั้ง จดจำตลอดไป เมื่อเราผูก ‘Self-Esteem’ ไว้กับ ‘ความสำเร็จ’ เพียงอย่างเดียว จนมองไม่เห็นคุณค่าแท้จริงของตัวเอง
เคยเป็นไหมในวันที่ทำอะไรได้ดี จะรู้สึกเหมือนมีพลังมหาศาลอยู่ข้างใน แต่พอวันไหนที่ทำอะไรพลาดเพียงเล็กน้อย ความรู้สึกเหล่านั้นกลับหายไปเหมือนไม่เคยมีอยู่
นั่นเพราะเรามักเผลอใจนำคุณค่าของตัวเองไปถูกไว้กับความสำเร็จที่เคยทำ แล้วถ้าวันใดทำผิดหรือทำอะไรสักอย่างพลาดไปก็รู้สึกราวกับคุณค่าของความสำเร็จนั้นหลุดมือ ราวกับเราตกลงไปในหลุมดำที่ไม่มีใครมองเห็น
หรือหากเปรียบเทียบให้ง่ายขึ้นก็คือ เหมือนเวลามองผ้าขาวว่าสวย แต่พอมีสีดำเปื้อนขึ้นมาหนึ่งจุดเรากลับมองว่ามันไม่สวยแล้ว ทั้งที่จุดสีดำนั้นอาจเป็นเพียงจุดเล็กๆ ที่หากไม่สังเกตก็ไม่มีใครเห็นด้วยซ้ำ
ทั้งนี้คำที่เราใช้เรียกคุณค่าที่เรารู้สึกหลังทำอะไรบางอย่างสำเร็จก็คือ ‘ความภาคภูมิใจในตัวเอง’ (Self-Esteem) ขุมพลังที่ทำให้เรากล้าก้าวไปข้างหน้า เป็นไฟที่จุดให้เราทำบางอย่างได้อย่างสง่างาม แต่ในบางแง่มุม มันก็คล้ายเปลวไฟที่ต้องเติมเชื้ออยู่ตลอดเวลา หากเรานำความภาคภูมิใจไปผูกกับเงื่อนไขว่า‘ต้องสำเร็จ’ เพียงอย่างเดียว
คริสติน เนฟฟ์ (Kristin Neff) นักวิจัยที่พูดถึงเรื่อง ความเมตตาต่อตนเอง(Self-Compassion) อย่างลึกซึ้ง ได้เตือนเราว่า การไล่ล่าความภาคภูมิใจแบบนั้น มันคือกับดักทางอารมณ์ที่เราจะตกลงไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า และพอผิดหวัง เราก็โทษตัวเองอีก โดยไม่รู้เลยว่า ‘ความผิดพลาด’ ไม่ใช่ข้อบกพร่อง แต่มันคือส่วนประกอบหนึ่งของความเป็นมนุษย์
MOODY เชื่อว่าหลายคนก็เคยเป็นแบบนั้น เคยตั้งเป้าไว้สูง และเมื่อทำได้ เราก็รู้สึกว่าชีวิตช่างมีความหมาย แต่พอมีสักอย่างผิดพลาด แค่ครั้งเดียว ใจก็หดหายเหมือนถูกตัดเส้นเชื่อมกับคุณค่าของตัวเองทันที มันไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีเลยใช่ไหม และยิ่งเรายึดมั่นว่าต้อง ‘ดีให้ได้เสมอ’ ยิ่งเหมือนขังตัวเองไว้ในกรงที่ไม่มีวันหลุดพ้น
ดังนั้น บางครั้งเราอาจต้องเปลี่ยนคำถามในใจใหม่ จาก “วันนี้เราทำสำเร็จหรือเปล่า” เป็น “วันนี้เราใจดีกับตัวเองพอหรือยัง”
แทนที่เราจะถามหาความภาคภูมิใจ ลองให้ความเมตตาเป็นคำตอบดูไหม เพราะความเมตตาใจดีต่อตัวเอง ไม่ได้หมายถึงการปลอบใจตัวเองแบบเลื่อนลอย แต่มันคือการยอมรับว่า เรามีวันที่ดีและไม่ดีได้ เรามีสิทธิ์ผิดพลาด และเรายังมีคุณค่าอยู่แม้ในวันที่ยังไม่พร้อมจะเดินหน้า
ความเมตตาต่อตัวเอง ไม่ได้ทำให้เราอ่อนแอ แต่มันทำให้เราซื่อตรงกับความเป็นจริง ว่าเราไม่จำเป็นต้องดีพร้อมตลอดเวลา และนั่นแหละคือที่ว่างที่เราจะเติบโตอย่างแท้จริง
โดยสิ่งหนึ่งที่เราจะได้เรียนรู้ระหว่างทาง คือ การตระหนักรู้ในตนเองอย่างมีเมตตา (Compassionate Self-Awareness) มันคือการมองตัวเองอย่างตรงไปตรงมา แต่ไม่รีบร้อนตัดสิน ไม่เร่งรัดให้ต้องดีขึ้นทันที แต่เปิดพื้นที่ให้ตัวเองได้เข้าใจ เห็นอกเห็นใจ และอ่อนโยนกับหัวใจที่อ่อนล้า
มันคือการบอกกับตัวเองว่า “ไม่เป็นไรหรอกถ้าวันนี้ไม่มีอะไรเป็นอย่างใจหวัง” และยังคงเชื่อมั่นว่า เราจะไปถึงได้ในแบบของเราเอง
บางที คำว่า ‘ดีพอ’ ไม่ได้แปลว่าเราหยุดเติบโต แต่มันแปลว่า เราหยุดตัดสินตัวเองอย่างโหดร้าย และเริ่มโอบกอดตัวเองอย่างเข้าใจมากขึ้น และเมื่อนั้นเอง ความภาคภูมิใจและมั่นใจที่แท้จริงก็จะค่อยๆ งอกงามขึ้นมา จากพื้นที่ที่เราเริ่มลงรากความรัก ความอ่อนโยน และการให้อภัยตัวเอง
ความภาคภูมิใจในตัวเองอาจพาเราพุ่งขึ้นสูงตามความฝัน แต่ความเมตตาจะช่วยให้หัวใจเราสงบนิ่งอย่างมั่นคงและอ่อนโยนเสมอ
อย่าลืมว่าผิดพลาดได้แต่อย่าไปโฟกัสกับมันมากเกินไป จนหลงลืมไปว่าคุณค่าและความภาคภูมิใจในชีวิตของเราไม่ได้มีแค่ความสำเร็จเพียงอย่างเดียว