“สินค้าหรู” หลบไป “มาหาเศรษฐี” ยุคใหม่ ซื้อ “ความสุขยั่งยืน”
มหาเศรษฐีในเอเชียแปซิฟิก และทั่วโลกให้ความสนใจสินค้าหรูหราราคาแพงลดน้อยลง แล้วหันมาใช้จ่ายกับความสุขทางใจ หรือความสุขในระยะยาว ที่มากกว่าวัตถุเพิ่มสูงขึ้น อะไรเป็นปัจจัย และทำไมถึงแนวโน้มถึงเป็นเช่นนั้น
ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก GDP ในปีนี้คาดว่าจะเติบโตที่ระดับ 4.5% สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 3.3% และในตลอดสองปีที่ผ่านมา ปัจจัยพื้นฐานที่มั่นคงได้ปูทางไปสู่การเติบโตอย่างรวดเร็วของความมั่งคั่งในภูมิภาคนี้
จำนวนบุคคลที่มีความมั่งคั่งสุทธิสูงในเอเชียคาดว่าจะเติบโต 5% เมื่อเทียบกับปี 2567 ที่มีอยู่ราว 855,000 คน โดยเฉพาะการเติบโตของเศรษฐีใหม่ในจีน และอินเดีย จะช่วยให้สัดส่วนของผู้มีความมั่งคั่งสุทธิรายใหม่ในเอเชียเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 47.5% ของทั้งโลกภายในปี 2571
ซึ่งก็ส่งผลให้ 2 เมืองในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก นั่นคือสิงคโปร์ และฮ่องกง ยังคงเป็นเมืองที่มีค่าครองชีพแพงที่สุดในโลกในอันดับที่ 1 และ 3 โดยกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษอยู่ในอันดับที่สอง และกรุงเทพมหานคร ประเทศไทยเองก็กระโดดขึ้นมาอยู่อันดับที่ 11 จากอันดับที่ 17
โดยหลัก ๆ คือการเพิ่มขึ้นของสินค้าอุปโภคบริโภค รวมถึงสินค้าฟุ่มเฟือยต่าง ๆ เช่นรถยนต์หรู นาฬิกาหรู เครื่องประดับ เป็นต้น ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในเมืองที่มีราคาแพงที่สุดในโลกสำหรับสินค้าฟุ่มเฟือย ในขณะที่อินเดียในฐานะอนาคตศูนย์กลางเศรษฐกิจระดับโลก “มุมไบ” เมืองที่มีมหาเศรษฐีอาศัยอยู่หนาแน่น กลับเป็นเมืองที่อยู่ในอันดับต่ำสุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รองจากกรุงมะนิลาของฟิลิปปินส์
และที่สำคัญด้วยการเปลี่ยนถ่ายธุรกิจแบบดั้งเดิมสู่อุตสาหกรรมทางเทคโนโลยีใหม่ๆ ตลอดจนการถ่ายโอนความมั่งคั่งจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งคาดว่าจะมีการเปลี่ยนมือสินทรัพย์มูลค่าสูงถึง 5.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯภายในปี 2573 ซึ่งนั่นก็เป็นปัจจัยให้มหาเศรษฐีในภูมิภาคนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่รูปแบบการใช้ชีวิต และการใช้จ่ายแบบใหม่
โดยรายงานการสำรวจ “Global Wealth and Lifestyle Report 2025” ของ Julius Baer ผู้นำธุรกิจบริหารความมั่งคั่งระดับโลก ที่มีการนำเสนอข้อมูลความมั่งคั่งส่วนบุคคล และการบริหารทางการเงินของมหาเศรษฐีทั่วโลก โดยพบว่ามหาเศรษฐี บุคคลที่มีความมั่งคั่งสูง หรือ High Net Worth Individual ในทั่วโลก มีการบริหารการเงิน และใช้จ่ายที่แตกต่างออกไปจากในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา
โดยในแง่การใช้จ่ายเงินของบุคคลที่มีความมั่งคั่งสูง ไม่ได้มีพฤติกรรมในการซื้อสินค้าหรู หรือซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยเหมือนที่ผ่านมา โดยราคาสินค้าหรูในภาพรวมปรับตัวลดลง 2% สวนทางกับราคาสินค้าอุปโภคบริโภค หรือการบริการที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น และเมื่อพิจารณาจากรายงานยอดขายสินค้าแบรนด์เนมหรูหราชั้นนำ พบว่าการใช้จ่ายในสินค้าไฮเอนด์กำลังชะลอตัวลงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุโรป และอเมริกาเหนือ ถึงแม้ว่าตัวเลขนั้นอาจจะยังไม่ได้บ่งบอกว่าบุคคลที่มีความมั่งคั่งสูงจะไม่ซื้อสินค้าไฮเอนด์อีกต่อไป
แต่กลุ่มคนที่มีฐานะร่ำรวยเหล่านี้ หันมาใช้จ่ายกับการบริการ หรือประสบการณ์ที่หรูหราแทน เช่น อาหารระดับพรีเมี่ยมจากเชฟระดับท๊อป หรือการใช้เวลาวันหยุดพักผ่อนระดับไฮเอนด์ ซึ่งในตลาดนี้กลับมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เป็นสัญญาณเตือนให้แบรนด์สินค้าหรูหลายแบรนด์ตื่นตัว เพราะเพียงแค่สินค้าหรูมูลค่าสูงอาจจะไม่สามารถตอบโจทย์ได้อีกต่อไป
ส่งผลให้แบรนด์หรูชั้นนำวางแผนรับมือกับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ เช่นแบรนด์ท่องเที่ยว Belmond ของ Louis Vuitton ได้นำเสนอประสบการณ์สุดพิเศษด้วยการเดินทางด้วยรถไฟระดับไฮเอนด์ ที่มาพร้อมกับเชฟระดับมิชลินสตาร์ และที่พักที่ได้รับการคัดสรรมาอย่างดี โดย Belmond อธิบายว่าเป็น “ความหรูหราแบบสโลว์ไลฟ์” เช่นเดียวกันกับ Dior ที่กำลังสร้างสปาที่มาพร้อมความหรูหราในทุกรายละเอียด
แล้วทำไมมหาเศรษฐีเหล่านี้ถึงมองว่าประสบการณ์พิเศษทำให้พวกเค้ามีความสุขมากกว่าสิ่งของราคาแพง พวกเขามองหาคุณภาพ และไม่ได้ให้ความสำคัญกับปริมาณ นั่นเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของความหรูหรา ซึ่งเดิมทีความหรูหรามักถูกตีความด้วยราคา แต่ปัจจุบันกลับกลายเป็นวิถีชีวิตที่ครอบคลุมทุกอย่าง ตั้งแต่การศึกษา ความบันเทิง การกินดื่ม ไปจนถึงบริการทางการเงิน
โดยบุคคลที่มีความมั่งคั่งสูงต้องการสิ่งที่ดีที่สุดในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นมรดก และนวัตกรรมที่แปลกใหม่ หลากหลาย ต้องการ AI แต่ก็ยังอยากสัมผัสกับมนุษย์ที่มีประสบการณ์ต่างกัน เลือกความพิเศษเฉพาะตัวมากขึ้น และที่สำคัญคือการให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น หลังจากการระบาดใหญ่ของโควิด-19 และกระแสนี้ก็เป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่ออายุยืนกลายเป็นกระแสหลัก บุคคลที่มีความมั่งคั่งสูงทั่วโลกมีเป้าหมายที่จะมีอายุยืนนานขึ้น ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ออกกำลังกายสม่ำเสมอ การรับประทานอาหารที่ดี ไปจนถึงการใช้เทคโนโลยีการแพทย์ชั้นสูงเพิ่มสุขภาพที่ดีในอนาคต และนั่นก็ส่งผลให้มีอายุในวัยหลังเกษียณที่ยาวนานขึ้น ก็ทำให้จำเป็นที่จะต้องใช้จ่ายเพื่อความมั่งคั่งเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย
ส่งผลให้บุคคลที่มีความมั่งคั่งสูง ซึ่งส่วนใหญ่ก็มีความมั่งคั่งที่เพิ่มสูงขึ้นอยู่แล้ว ใส่ใจรายละเอียด และใช้จ่ายกับการวางแผนทางการเงินที่เข้มข้นขึ้น ด้วยการปรับกลยุทธ์ด้านความมั่งคั่งด้วยการเพิ่มการลงทุน หรือเพิ่มความเสี่ยงจากการทุนที่มากขึ้นหลังจากนี้ หรือพูดง่าย ๆ ว่า ใช้เงินอย่างเดียวไม่พอต้องสร้างเงินไปในเวลาเดียวกันด้วย และที่สำคัญเพื่อเป็นการวางรากฐาน หรือหลักประกันความมั่งคั่ง เพื่อเป็นมรดกส่งต่อให้กับรุ่นต่อไป
โดยบุคคลที่มีความมั่งคั่งสูงในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีแนวโน้มที่จะเพิ่มการลงทุนสูงที่สุดที่ 68% ตามมาด้วยบุคคลที่มีความมั่งคั่งสูงในตะวันออกกลางที่มีแนวโน้มเพิ่มการลงทุน 63%
ความไม่แน่นอนของการค้า และเศรษฐกิจโลก รวมถึงการแข่งขันด้านสินค้า และบริการ ที่สำคัญที่สุดคือการพัฒนาเทคโนโลยี ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้พฤติกรรม หรือระบบการใช้จ่ายของคนทั่วโลกเปลี่ยนไป ไม่เพียงแต่เฉพาะผู้ที่มีความมั่งคั่งสูงเท่านั้น แต่การหันมาใช้จ่าย หรือสร้างระบบการเงินเพื่อรองรับความเสี่ยงของความไม่แน่นอน และเพื่อต่อยอดความมั่งคั่งเป็นหลักประกันให้กับตนเองและครอบครัว ล้วนแล้วแต่เป็นระบบการใช้จ่ายที่คนในทุกระดับควรที่จะให้ความสำคัญ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- “สินค้าหรู” หลบไป “มหาเศรษฐี” ยุคใหม่ซื้อ “ความสุขยั่งยืน”
- ตลาดสินค้าหรู "สิงคโปร์" โตแกร่งสวนกระแสโลก จ่อขึ้นแท่นฮับเอเชีย แซงหน้าญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้
- 5 ทักษะสำคัญ ทำให้การวางแผนการเงินได้ผลจริง
- “No Spend Challenge” ภารกิจพิชิตเป้าหมายการเงิน
- "หวยเกษียณ" ผ่านสภาฯ จ่อขายไตรมาส 4 ปีนี้ กำหนดสิทธิรับเงินคืนกรณี "ทุพพลภาพ"