“โดรนพลีชีพ” ตัวเปลี่ยนเกม สงครามยุคใหม่
ในช่วงเวลาที่ความขัดแย้ง ขยายไปทั่วทุกภูมิภาค หลายประเทศ ต่างก็พัฒนายุทโธปกรณ์ให้มีความทันสมัยขึ้น เพื่อรับมือกับภัยคุกคามต่าง ๆ บนสมรภูมิ
ภาพจำการรบแบบสมัยก่อนอาจเปลี่ยนไป จากพื้นสนามรบที่เต็มไปด้วยรถถัง เครื่องบินรบ อาวุธหนักต่าง ๆ
แต่การเข้ามาของ “โดรนพลีชีพ” กำลังกลายเป็น Game Changer บนสมรภูมิอันดุเดือด
“โดรนพลีชีพ” คืออะไร ?
“โดรนพลีชีพ” หรือที่เรามักเรียกทั่วไปว่า โดรน FPV ย่อมาจาก First Person View เป็นโดรนที่ติดกล้องและส่งภาพแบบเรียลไทม์ไปยังผู้ควบคุมผ่านแว่น FPV ทำให้บังคับได้แม่นยำ มักถูกนำมาดัดแปลง เพื่อบรรทุกระเบิด หรือ หัวรบได้
หากจะให้อธิบายแบบเห็นภาพง่าย ๆ โดรนพลีชีพ เปรียบเสมือนกระสุนปืนสไนเปอร์ และนักบินผู้ควบคุมโดรนเหล่านี้ ก็คือ มือปืนสไนเปอร์ นั่นเอง
ด้วยความที่มีขนาดเล็ก ราคาถูก แต่พลังทำลายล้างสูง และตรวจจับได้ยาก จึงทำให้โดรนพลีชีพ กลายเป็นอาวุธสำคัญที่ถูกนำมาใช้ในสงครามสมัยใหม่มากขึ้น เมื่อเทียบกับอาวุธหนักอื่น ๆ
ราคาโดรนพลีชีพตกอยู่ลำละประมาณ 300-500 ดอลลาร์สหรัฐ
สงครามรัสเซีย-ยูเครน จุดเปลี่ยนยุทธการรบแบบใหม่
จุดเปลี่ยนที่ทำให้ “โดรน” เข้ามามีบทบาทสำคัญ และทำให้เปลี่ยนแปลงการรบสมัยใหม่ไปตลอดกาล นั่นคือ สงครามรัสเซีย-ยูเครน
บทความจาก CEPA เผยว่า โดรนได้เปลี่ยนโฉมความมั่นคงโลกไปตลอดกาล โดยต้นทุนการรบต่ำ แต่ส่งผลทำลายล้างสูง
ยูเครนกลายเป็นผู้นำด้านยุทธวิธีโดรนในการทำสงคราม โดยใช้โดรน FPV ราคาประหยัด และขยายการใช้งานไปสู่การปฏิบัติการทางทะเลเพื่อต่อต้านกองกำลังรัสเซีย ภายในเวลาไม่กี่ปี ยูเครนได้เพิ่มจำนวนการใช้งานโดรนในสนามรบ เป็นหลายหมื่นตัวต่อเดือน
หนึ่งตัวอย่างที่ทำให้โลกได้เห็นถึงประสิทธิภาพของโดรนเหล่านี้ คือ ปฏิบัติการใยแมงมุม หรือ “Spider’s Web” operation ที่ยูเครนได้ส่งโดรนกว่าร้อยลำ โจมตีฐานทัพอากาศสำคัญของรัสเซีย ทำให้เครื่องบินรบเสียหายเป็นจำนวนมาก นับว่าเป็นหนึ่งในการโจมตีทางไกลที่สุดของยูเครนเท่าที่เคยมีมา
อันที่จริง เคยมีการนำมาใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 1 มาแล้ว และกลุ่มติดอาวุธต่าง ๆ เคยใช้ “โดรน” เพื่อก่อการร้ายก่อนหน้าที่จะเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครนอีก
แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่าย เชื่อว่า ปฏิบัติการของยูเครน กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญอย่างมากในสงครามสมัยใหม่ เพราะโดรนขนาดเล็ก และราคาถูก กลับสามารถทำลายอาวุธหนัก ๆ มูลค่ามหาศาลของรัสเซียได้ และสามารถบินโจมตีไกลถึงหลายพันกิโลเมตรได้
รายงานของ Forbes ระบุว่า ยูเครนสามารถผลิตโดรน FPV ได้มากถึง 100,000 ลำต่อเดือน และคาดว่า โดรนเหล่านี้จะถูกพัฒนาให้มีความทนทานและมีประสิทธิภาพสูงขึ้นในสนามรบ รวมถึงสามารถบินได้อย่างอัตโนมัติมากขึ้น เมื่อผสานกับ AI ที่ช่วยให้ระบบเรียนรู้ด้วยตัวเอง ก็มีความเป็นไปได้ว่าในอนาคต โดรนจะสามารถปฏิบัติการแบบบินเป็นฝูงได้พร้อมกันอีกด้วย
ข้อมูลจากการวิเคราะห์ด้านการป้องกันประเทศของ National Security News ระบุว่า โดรนเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตในสงครามยูเครนราว 80% มากกว่าอาวุธชนิดอื่น ๆ
ปัจจุบัน มีมากกว่า 30 ประเทศ ที่มีโดรนติดอาวุธไว้ในครอบครอง อาทิ จีน, ตุรกี และอิหร่าน เป็นต้น
“โดรน” อาวุธที่ถูกใช้ทุกภูมิภาคความขัดแย้ง
ความนิยมใช้ “โดรน” ในการสงคราม ไม่ได้เกิดขึ้นที่รัสเซีย-ยูเครนเท่านั้น แต่ยังถูกใช้ไปทั่วภูมิภาคที่มีความขัดแย้ง ไม่เว้นแม้แต่ ไทย-กัมพูชา
กองทัพภาคที่ 2 รายงานว่า กัมพูชา ได้ใช้โดรน FPV ติดลูก ค.82 มม. ใช้สายไฟเบอร์ออปติกในการบังคับ โดยจะมีโดรนชี้เป้าจำนวน 1 ตัว บินคอยดูสังเกตและแจ้งที่หมาย
โดรนพลีชีพจะทิ้งทำลายบริเวณช่องด้านหน้า หรือด้านหลังบังเกอร์ หวังให้สะเก็ดกระเด็นเข้าด้านใน บางจังหวะมีลงจอดที่พื้น เพื่อประหยัดแบตและรอเป้าหมาย
การบังคับโดรน FPV จะสามารถควบคุมได้ 2 ลักษณะ คือ
บินตาม GPS ขึ้นได้ทีละหลายลำ แต่จะบินมั่ว ชนกิ่งไม้ หรือตาข่ายง่าย
ใช้คนบังคับทีละลำ ลักษณะจะบินหาที่มุดเข้าบังเกอร์ ทำให้แม่นยำกว่า ซึ่งกองทัพภาคที่ 2 ชี้ว่า เหตุโจมตีที่ช่องอานม้า ลักษณะการโจมตีคล้ายรูปแบบนี้
เทคโนโลยีกำลังทำสงครามไม่มีวันสิ้นสุด ?
“โดรน” ไม่ได้เป็นเพียงแค่ตัวเปลี่ยนเกมสงครามสมัยใหม่เท่านั้น แต่มันอาจจะเป็นตัวการที่ทำให้สงครามไม่มีวันสิ้นสุดด้วย
ถึงแม้โดรนจะไม่สามารถเข้ายึดครองประเทศได้เหมือนพลทหาร แต่มันก็เป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้กองทัพที่อ่อนแอกว่า สามารถยืนหยัดต่อสู้ได้ยาวนาน
บทความวิเคราะห์จาก Vision of Humanity ของสถาบัน Economics and Peace รายงานว่า นวัตกรรมเทคโนโลยี อย่างโดรนสงคราม และ AI ทำให้การก่อสงครามเกิดได้ง่ายขึ้น และก็ทำให้จบได้ยากขึ้นเช่นกัน
อาวุธเหล่านี้ กำลังสร้างสิ่งที่เรียกว่า “สงครามตลอดกาล” ซึ่งเป็นความขัดแย้งที่ยากต่อการแก้ไข และทำลายทรัพยากรโลกไปอีกหลายสิบปี
เทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้สงครามแบบชนะขาดจบยากขึ้น มีเพียง 9% เท่านั้น ที่จบแบบมีผู้ชนะชัดเจน เมื่อเทียบกับช่วงปี 1970 อยู่ที่ 49% นอกจากนี้ สงครามที่ จบด้วยข้อตกลงสันติภาพก็ลดลง จาก 23% เหลือเพียง 4% เท่านั้น
การผงาดขึ้นของ “โดรนพลีชีพ” สะท้อนให้เห็นว่าสงครามยุคดิจิทัลไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยขนาดกองทัพเพียงอย่างเดียว แต่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม ความเร็วในการปรับตัว และความเข้าใจเชิงยุทธศาสตร์ต่อเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ขณะเดียวกัน ก็ทำให้สงครามยากที่จะจบลง
คำถามสำคัญจึงอาจไม่ใช่เพียงว่าใครจะชนะสงคราม แต่คือโลกจะหาทางยุติความขัดแย้งที่ยืดเยื้อเหล่านี้ได้อย่างไร
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
https://cepa.org/article/how-are-drones-changing-war-the-future-of-the-battlefield/
https://edition.cnn.com/2025/11/27/world/history-future-of-drones-intl-hnk-ml-dst
https://worth.com/drones-are-now-the-deadliest-weapon-in-modern-conflict/
http://dronelife.com/2024/05/31/the-rise-of-tiny-fpv-drones-in-warfare-how-theyre-used/
https://www.usmcu.edu/Portals/218/MCU_Insights_BengoGuy_16_4.pdf
https://www.tnnthailand.com/tech/219886/
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ไทยโจมตีปอยเปตจริงหรือไม่? ทอ.ยันเป้าหมายคือคลังอาวุธ กต.ชี้คนไทยปลอดภัย
- ไทยโต้กัมพูชา โฆษก ทบ.ยันโจมตีเฉพาะเป้าหมายทหาร ตามกฎหมายสากล
- ผู้ว่าฯ โคราช เสนอ กพท.สั่งห้ามบินโดรนทั้งจังหวัด ป้องกันสายลับชายแดน
- เปิดภาพล่าสุด "ปราสาทตาควาย" ทหารไทยสละชีพ 2 นาย ปกป้องอธิปไตย
- สมช. เคาะ 3 มาตรการเข้มคุม "ยุทธปัจจัย”- เร่งพาคนไทย 4 พันคนกลับปท.