ทุ่นระเบิดสังหาร ยังเป็นปัญหา คร่าชีวิตผู้คน อยู่ในจุดใดของโลกบ้าง ?
ทุ่นระเบิดสังหาร ยังคงคร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกในอัตราที่น่าตกใจ
มรดกอันโหดร้ายจากสงคราม ไม่เพียงแต่ยังคงอยู่ แต่ยังกลับมาทวงชีวิตผู้คนในอัตราที่น่าตกใจไม่น้อย รายงาน "Landmine Monitor 2024" ฉบับล่าสุดได้ตีแผ่ความจริงอันน่ากระอักกระอ่วนใจ: จำนวนผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากทุ่นระเบิดทั่วโลกพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง สวนทางกับความพยายามในการเก็บกู้และความช่วยเหลือทางการเงินที่ทุบสถิติสูงสุดอย่างสิ้นเชิง มันคือภาพสะท้อนความขัดแย้งของโลกสมัยใหม่ ที่ความก้าวหน้าทางมนุษยธรรมกลับถูกบดบังด้วยความขัดแย้งที่ปะทุขึ้นใหม่
วิกฤตการณ์ที่พลเรือนและเด็กต้องรับเคราะห์จากทุ่นระเบิด
ตัวเลขในปี 2023 นั้นชัดเจนและโหดร้าย มีผู้คนอย่างน้อย 5,757 ราย ที่ต้องสังเวยชีวิตหรือบาดเจ็บจากทุ่นระเบิดและยุทโธปกรณ์จากสงครามที่ยังไม่ระเบิด (ERW) ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 22% และนับเป็นปีที่ 9 ติดต่อกันที่ตัวเลขผู้ประสบเหตุยังคงสูงอย่างน่าใจหาย
พลเรือนคือเป้าหมายหลัก: เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายถึง 84% เป็นพลเรือนผู้บริสุทธิ์
อนาคตของชาติถูกคุกคาม: มากกว่าหนึ่งในสามของเหยื่อพลเรือนคือ "เด็ก"
เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ เมียนมา กลายเป็นประเทศที่มีจำนวนผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตรายปีสูงที่สุดในโลก (1,003 ราย) แซงหน้าพื้นที่ขัดแย้งที่ยาวนานอย่างซีเรีย (933 ราย) และอัฟกานิสถาน (651 ราย) สถานการณ์นี้เป็นผลโดยตรงจากการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลอย่างกว้างขวางและต่อเนื่องโดยกองทัพเมียนมา ขณะที่สงครามในยูเครนได้สร้างเหยื่อไปแล้ว 580 รายในปีเดียว
10 ประเทศที่มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตสูงสุดในปี 2023
เมียนมา: 1,003 คน
ซีเรีย: 933 คน
อัฟกานิสถาน: 651 คน
ยูเครน: 580 คน
เยเมน: 499 คน
ไนจีเรีย: 343 คน
บูร์กินาฟาโซ: 308 คน
มาลี: 174 คน
เอธิโอเปีย: 106 คน
อิรัก: 102 คน
สาเหตุของโศกนาฏกรรม: การเพิกเฉยต่อมนุษยธรรมและคลังแสงที่ยังคงอยู่
รากเหง้าของปัญหานี้ซับซ้อน แต่มีปัจจัยหลักที่ชัดเจนอยู่สองประการ คือ การกลับมาใช้งานอย่างแพร่หลาย และ การครอบครองทุ่นระเบิดจำนวนมหาศาลโดยรัฐนอกภาคีสนธิสัญญา
การกลับมาใช้ทุ่นระเบิดใหม่: รัสเซียและเมียนมาเป็นผู้ใช้รายใหญ่ที่สุดในปัจจุบัน การที่รัสเซีย ซึ่งไม่ได้เป็นรัฐภาคีของ สนธิสัญญาออตตาวา (Ottawa Treaty) ได้วางทุ่นระเบิดอย่างกว้างขวางในดินแดนของยูเครนซึ่งเป็นรัฐภาคี ถือเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนและเป็นการบ่อนทำลายบรรทัดฐานสากลอย่างร้ายแรง นอกจากนี้ ยังพบการใช้โดยอิหร่าน เกาหลีเหนือ และกลุ่มติดอาวุธในหลายพื้นที่ ตั้งแต่โคลอมเบียไปจนถึงภูมิภาคซาเฮลในแอฟริกา
ต้นตอของปัญหาทุ่นระเบิดสังหาร
สาเหตุหลักที่ทำให้วิกฤตเลวร้ายลงคือ การใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลครั้งใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากกองทัพเมียนมาและรัสเซีย การที่รัสเซียซึ่งไม่ได้เป็นรัฐภาคีของสนธิสัญญาออตตาวา (สนธิสัญญาห้ามทุ่นระเบิด) ได้วางทุ่นระเบิดอย่างกว้างขวางในยูเครนซึ่งเป็นรัฐภาคี ถือเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นอกจากนี้ ยังพบการใช้งานโดยอิหร่านและเกาหลีเหนือ รวมถึงการใช้ทุ่นระเบิดแสวงเครื่อง (Improvised Explosive Devices - IEDs) โดยกลุ่มติดอาวุธในหลายพื้นที่ทั่วโลก
ขณะเดียวกัน โลกยังคงเผชิญกับปัญหาจากทุ่นระเบิดที่ถูกผลิตและเก็บสะสมไว้จำนวนมหาศาล คาดว่าทั่วโลกยังมีทุ่นระเบิดสังหารบุคคลหลงเหลืออยู่ราว 45 ล้านลูก โดยกระจุกตัวอยู่ในคลังแสงของ 5 ประเทศมหาอำนาจที่ไม่ได้เข้าร่วมสนธิสัญญาออตตาวา ได้แก่:
รัสเซีย: ~26.5 ล้านลูก
ปากีสถาน: ~6 ล้านลูก
อินเดีย: 4-5 ล้านลูก
จีน: < 5 ล้านลูก
สหรัฐอเมริกา: ~3 ล้านลูก
ตัวเลขเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า เกือบ 60 ประเทศและดินแดนทั่วโลกยังคงมีการปนเปื้อนของทุ่นระเบิด ซึ่งเป็นมรดกอันตรายที่รอวันคร่าชีวิตผู้คน
ตราบใดที่ประเทศเหล่านี้ยังคงสะสมและสงวนสิทธิ์ในการใช้อาวุธที่ไร้การควบคุมชนิดนี้ โลกก็จะไม่มีวันปลอดภัยอย่างแท้จริง
ดาบสองคมแห่งความช่วยเหลือ ?
ท่ามกลางข่าวร้าย ยังมีแสงแห่งความหวัง ในปี 2023 มีการเก็บกู้พื้นที่ปนเปื้อนได้ถึง 281.5 ตารางกิโลเมตร และที่สำคัญคือเงินทุนสนับสนุนกิจกรรมด้านทุ่นระเบิดทั่วโลกทะลุหลัก 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
ทว่าเบื้องหลังตัวเลขที่สวยงามนี้มีความจริงที่น่ากังวลซ่อนอยู่ เงินทุนส่วนใหญ่มุ่งตรงไปที่ ยูเครน ซึ่งได้รับความช่วยเหลือระหว่างประเทศมากถึง 308.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ การให้ความสำคัญอย่างเร่งด่วนนี้เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ แต่ก็ได้สร้างผลกระทบลูกโซ่ไปยังพื้นที่วิกฤตอื่นๆ ประเทศที่เผชิญปัญหานี้มาอย่างยาวนานเช่น อัฟกานิสถานและเยเมน กำลังประสบภาวะเงินทุนสนับสนุนลดลงอย่างน่าใจหาย ส่งผลให้โครงการช่วยเหลือเหยื่อ การฟื้นฟูสมรรถภาพ และการให้ความรู้เรื่องความเสี่ยงต้องหยุดชะงัก ประชาคมระหว่างประเทศกำลังเผชิญกับคำถามทางจริยธรรมว่า ชีวิตของเหยื่อในสมรภูมิที่โลกลืมนั้น มีค่าน้อยกว่าหรือไม่
บทเรียนจากกัมพูชาสู่แนวโน้มโลกที่น่ากังวล
แม้สงครามจะจบไปกว่า 3 ทศวรรษ แต่ กัมพูชา ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจถึงผลกระทบระยะยาวของทุ่นระเบิด นับตั้งแต่ปี 1979 กับดักมรณะเหล่านี้คร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 65,000 คน และทิ้งให้ผู้คนอีกนับไม่ถ้วนต้องพิการ พื้นที่เสี่ยงส่วนใหญ่ยังคงกระจุกตัวตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา หรือที่รู้จักในชื่อ "แนวป้องกัน K5"
สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่า คือบรรยากาศความร่วมมือระหว่างประเทศที่เคยแข็งแกร่งในยุคหลังสงครามเย็นกำลังถูกกัดกร่อน ความขัดแย้งที่ปะทุขึ้นใหม่ โดยเฉพาะสงครามในยูเครน ทำให้ประเทศในยุโรปบางแห่ง เช่น ฟินแลนด์และโปแลนด์ เริ่มส่งสัญญาณว่าอาจกลับมาผลิตทุ่นระเบิดอีกครั้งเพื่อความมั่นคงของตนเอง
รายงาน Landmine Monitor 2024 จึงไม่ใช่เป็นเพียงแค่ชุดข้อมูล แต่คือเสียงเตือนที่ดังก้องไปทั่วโลกว่า ตราบใดที่ยังมีรัฐผู้ผลิตและใช้งานทุ่นระเบิด ตราบใดที่ความช่วยเหลือยังไม่ถูกกระจายอย่างเท่าเทียม และตราบใดที่สนธิสัญญาออตตาวายังไม่ถูกยอมรับในระดับสากลอย่างสมบูรณ์ ความทุกข์ทรมานจากอาวุธที่โหดร้ายและไร้การเลือกปฏิบัตินี้จะยังคงดำเนินต่อไป สร้างบาดแผลฝากไว้ให้คนรุ่นแล้วรุ่นเล่าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ที่มา : the-monitor.orgthe-monitor.org halotrust
ข่าวที่เกี่ยวข้อง