ลูกสาวเอ๋ ไพโรจน์ ขอพูดอีกมุมจากปาก ปมอดีตภรรยาพ่อร้องสื่อเข้าบ้านไม่ได้

อัพเดต 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ภาพไฮไลต์

หลังพลอยรัชษ์ ภรรยา เอ๋ ไพโรจน์ นักแสดงอาวุโสผู้ล่วงลับ เดินทางไปเข้าพบอัยการที่สำนักงานคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน (สคช.) ในวันนี้ โดยเจ้าตัวเล่าว่าถูกบีบให้ย้ายออกจากบ้านที่อยู่กับสามีมา 20 ปี

ล่าสุด ผู้สื่อข่าวไทยรัฐออนไลน์ ได้ต่อสายไปสอบถามเรื่องนี้กับ เบสท์ ปณิชา ลูกสาวของเอ๋ ไพโรจน์ เพื่อให้ได้ชี้แจงจากเรื่องที่เกิดขึ้น โดยเจ้าตัวอธิบายเอาไว้ว่า

- ต้องใช้คำว่าอดีตภรรยา เลิกกันมานานพอสมควรแล้ว เพียงแต่พ่อเพิ่งพูดในสื่อเมื่อปีที่แล้ว (2567) ว่าได้เลิกรากันไปแล้ว และพ่อกับเขาไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน

- เรื่องบ้าน ตลอดระยะเวลา 5-6 ปีที่เลิกกับพ่อ แต่เขายังอยู่ที่บ้านหลังนั้น ซึ่งพ่อบอกให้เขาย้ายออกแล้ว แต่เขาไม่ย้าย โดยอ้างว่าไม่มีที่อยู่ใหม่ แต่ลูกชายที่เป็นลูกติด ก็ย้ายออกแต่โดยดีหลังจากที่ทราบเรื่อง แต่ตัวเขาไม่ยอมย้าย แม้พ่อจะพูดหลายครั้งแล้วก็ตาม

- ตนได้พูดกับอีกฝ่ายว่า พ่อมีหนี้สินที่จะต้องเคลียร์ เลยเตรียมการไว้ก่อน ตอนที่พ่อยังมีชีวิตอยู่ พ่อบอกให้เขาย้าย เขายังไม่ย้าย แล้วเราเป็นลูก เขาจะย้ายไหม เพราะในอนาคตบ้านหลังนี้จะต้องขาย เพราะมันมีเรื่องหนี้สินของพ่อที่จะต้องเคลียร์ จึงได้แจ้งให้อีกฝ่ายทราบแล้ว

- และทางตนจะช่วยเหลือเรื่องเงินก้อนหนึ่งในการหาที่อยู่ใหม่ เพราะทราบดีว่าคนที่ไม่มีเงินมันทำอะไรก็ยาก ซึ่งตนพยายามให้ความช่วยเหลือแล้ว

- ทางเบสท์คิดว่าคุยเรื่องนี้กับอดีตภรรยาของพ่อรู้เรื่องแล้ว ว่าถึงเวลาจะต้องขยับขยาย แต่อีกฝ่ายพยายามบอกว่ายังเป็นภรรยาอยู่ พยายามบอกว่าเขามีสิทธิ์

- ทรัพย์สินที่เขาพูดถึง รถ บ้าน เป็นทรัพย์สินที่พ่อมีมาแต่เดิมอยู่แล้ว

- รถคลาสสิคของพ่อ 1 คัน ที่เขาขอยืมไปใช้ตั้งแต่คุณพ่อเสีย ซึ่งตนก็ให้ยืม แต่ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้รถก็ยังไม่กลับมาที่บ้านอีกเลย ตนทวงถามไปหลายครั้งแล้ว แต่อีกฝ่ายก็บอกแค่ว่ายืมก่อน เลยไปแจ้งความยักยอกทรัพย์ไว้

- ของที่อีกฝ่ายพูดถึง บางส่วนมันไม่ได้หาย แต่ตนไปแจ้งความไว้เพราะมีของในบ้านหาย เลยไปปรึกษากับตำรวจ ว่าถ้ามีของหาย และเขาไม่ได้อยู่บ้าน ไม่รู้ไปไหน ตนสามารถที่จะป้องกันอย่างไรได้บ้าง เปลี่ยนกุญแจลูกบิดได้หรือไม่ เพราะตอนนั้นตนยังไม่ได้เป็นผู้จัดการมรดก ซึ่งทางตำรวจบอกว่าทำได้ เพราะเราคือทายาท และในตอนนั้นก็มีการลงบันทึกประจำวันเอาไว้แล้ว

- เหตุการณ์ที่ตนไปทำประตูบ้าน และที่อีกฝ่ายบอกว่าเข้าบ้านไม่ได้ เกิดขึ้นตอนช่วงสิ้นเดือนมิถุนายน

- หลังจากที่ตนเปลี่ยนลูกบิดประตู อีกฝ่ายก็ได้สะเดาะกุญแจเพื่อเข้าบ้านเช่นกัน ตนจึงได้โทรหาตำรวจว่าจะทำอย่างไรดี จึงให้ตำรวจมาเชิญอีกฝ่ายเพื่อที่จะไปคุยกันที่สถานีตำรวจ พอตำรวจมาเชิญ แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ตามไปที่สถานีตำรวจตามที่บอกเอาไว้

- ตอนนี้ตนก็ไม่ได้เปลี่ยนกุญแจใหม่ แต่ใช้ประตูหน้าบ้านแทน เพราะไม่ได้หวงทรัพย์สินที่เป็นกังวลแล้ว เนื่องจากได้เคลื่อนย้ายไปแล้ว

- จากข่าวที่ออกมาเมื่อวาน ที่บอกว่า เข้าบ้านไม่ได้ เพราะล็อกบ้าน มันไม่ถูกต้องตั้งแต่แรก สิ่งที่เขาพูดมาข้อเท็จจริงมันไม่ถูกต้อง

- เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก็ผ่านมานานนับเดือน แต่อีกฝ่ายเพิ่งมาแจ้งความ ไม่ทราบว่าเป็นเพราะมันใกล้ถึงวันที่ศาลจะมีคำสั่งให้ตนเป็นผู้จัดการมรดกหรือเปล่า เขาเลยต้องรีบทำอะไรหรือเปล่า

- เพราะพ่อพูดกี่ครั้งเขาก็ไม่ย้ายออก พ่อเลยบอกคนรอบตัว เพื่อนๆ พี่น้องเพราะกลัวคนอื่นจะเข้าใจผิดว่าที่อีกฝ่ายยังอยู่บ้าน แค่เป็นการให้ที่อยู่อาศัยเท่านั้น

- เรื่องที่เขาสงสัยการเสียชีวิตของคุณพ่อ ด้วยความที่เขาไม่ได้เป็นภรรยาของพ่อแล้ว ตอนไปรับศพของคุณพ่อเขาก็ไม่ได้ไป หรือเรื่องเอกสารเขาก็เลยไม่ได้ช่วย เพราะเขาไม่ได้อยู่ในกระบวนการนั้นด้วย แต่ถ้าเขาสงสัยก็สามารถถามตนได้ ไม่เห็นต้องไปบอกสื่อ ถามกับตนได้ เอกสารก็อยู่กับตน ถามตนเหมือนที่นักข่าวถามตน มันไม่ได้มีความลับอะไร

- ตอนที่เห็นข่าว แค่รู้สึกเอ๊ะ ว่าทำไมเขาไม่ถามเราก่อนในประเด็นที่เขาสงสัย เพราะมันไม่ใช่เรื่องใหญ่โต ทุกอย่างมันมีเอกสารหลักฐาน

- ถ้าเขายืนยันว่าเขามีสิทธิ์ในทรัพย์สินของพ่อ ก็ต้องไปตามขั้นตอนของกฎหมาย เพราะถ้าจะเจรจา เราคุยกันไปแล้วตามที่บอก และถ้าจะรู้เรื่องก็คงรู้เรื่องตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว

- สิ่งที่เขาเรียกร้อง มันเกี่ยวข้องตามข้อกฎหมายว่าสิ่งที่เขาต้องการเขามีสิทธิ์ตามที่เขากล่าวอ้างจริงไหม

- วันงานศพคุณพ่อ เขาก็ไป แต่ด้วยเพราะเขาไม่ได้เป็นภรรยาของพ่อแล้ว หน้าที่การดูแลต้อนรับแขกก็เป็นของลูก

คลิกเพื่ออ่าน “ข่าวบันเทิงวันนี้”

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ลูกสาวเอ๋ ไพโรจน์ ขอพูดอีกมุมจากปาก ปมอดีตภรรยาพ่อร้องสื่อเข้าบ้านไม่ได้