ดราม่าโซเชียล! "เลิฟ รีญา" แม่ค้าครีมกัมพูชา ถูกตำรวจบุกจับ หลังเหตุชุดทหาร-รองเท้าส้นสูง "ดอกเหมย" โพสต์ทันควัน
สำนักข่าวเฟรชนิวส์รายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจจังหวัดกันดาล ประเทศกัมพูชา นำกำลังเข้าจับกุม "เลิฟ รีญา" แม่ค้าขายครีมชื่อดัง ถึงบ้านพักหรูในเมืองตักเมา ช่วงเช้าตรู่ โดยจนถึงขณะนี้ยังไม่มีการเปิดเผยข้อกล่าวหาหรือสาเหตุการจับกุมอย่างเป็นทางการ แต่เจ้าหน้าที่ยืนยันว่าจะสอบสวนอย่างละเอียดและเป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย
เลิฟ รีญา เป็นอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังในวงการความงามของกัมพูชา และมีผู้ติดตามจำนวนมาก ก่อนหน้านี้เธอเคยถูกวิพากษ์วิจารณ์ในประเทศไทย หลังปรากฏภาพสวมรองเท้าคอมแบทส้นสูง ขณะบริจาคของให้ทหารกัมพูชาในช่วงที่ไทย–กัมพูชาสถานการณ์ตึงเครียด จนเกิดกระแสล้อเลียนและคลิปโคฟเวอร์ของนักร้องสาวหมอลำซิ่งไทย "ดอกเหมย" ซึ่งกลายเป็นไวรัลในโซเชียลมีเดีย
หลังทราบข่าวการจับกุม ดอกเหมยได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กด้วยโทนตลกร้อนแรง ระบุว่า "เอ้าาาา ตื่นขึ้นกะได้รับข่าวดี อิวันมรณ ถืก ตร. บ้านมันจับ คือว่าผัวเป็นนายพลนายพันซอยหยังเธอบ่ได้ติสาววว"
ขณะนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวกลายเป็นประเด็นที่ผู้คนในโลกออนไลน์ให้ความสนใจและติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด
ทั้งนี้สื่อมวลชนกัมพูชารายงานว่า เมื่อวานนี้ (13 สิงหาคม) “เลิฟ ริญา” ได้ไลฟ์สด ประกาศว่ายังคงนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยต่อไป ทำให้เกิดกระแสต่อต้านเธอขึ้นมาชั่วข้ามคืนทันที เนื่องจากชาวกัมพูชาในขณะนี้ถูกปลุกปั่นให้เชื่อว่าการสนับสนุนสินค้าไทยเท่ากับนำเงินให้ไทยซื้ออาวุธมาทำร้ายชาวกัมพูชา
ล่าสุด วันนี้(14 ส.ค.) เฟซบุ๊กสำนักข่าว Kampuchea Thmey Daily ได้เผยแพร่บทสัมภาษณ์ของ ดร.โชติ บุนทัง ผู้เชี่ยวชาญด้านสังคมศาสตร์ ประจำราชบัณฑิตยสถานกัมพูชา ว่า กรณี “เลิฟ ริญา” แม่ค้าขายโลชั่นออนไลน์ ที่ประกาศว่ายังคงขายสินค้าไทยนั้น ถือเป็นการทรยศ เพิกเฉยต่อสวัสดิภาพของกองทัพ และเพิกเฉยต่อการดูหมิ่นเหยียดหยามของกลุ่มหัวรุนแรงไทยที่มีต่อกัมพูชา
ดร.โชติ บุนทัง ยังเรียกร้องให้บุคคลที่มีชื่อเสียงของกัมพูชารวมพลังกันทำทุกวิถีทางเพื่อประเทศชาติ ด้วยการต่อต้านการรุกรานของไทย เพื่อให้กัมพูชามีสันติภาพ
เเม่ทัพภาคที่ 2 ฝากถึงอินฟลูเอนเซอร์ นำเสนอข้อมูลชายแดนไทย-กัมพูชา ด้วยความรับผิดชอบ
พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ฝากถึงอินฟลูเอนเซอร์ทุกคน ทำหน้าที่อยู่บนพื้นฐานของความถูกต้อง นำเสนอข้อมูลตามข้อเท็จจริง โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่สร้างความแตกแยก หรือกระทบต่อความสามัคคีของคนในชาติ โดยขอให้รับผิดชอบต่อสิ่งที่นำเสนอไปสู่ประชาชน เพื่อไม่ให้กระทบต่ออาชีพและสังคม
พลโทบุญสิน ได้ระบุถึงสถานการณ์ ชายแดนไทย-กัมพูชาว่า ทั้งสองฝ่ายวางกำลังปกติต่างฝ่ายต่างอยู่ ส่วนกรณีกัมพูชาติดตั้งตาข่ายกั้นโดรน เป็นเรื่องปกติของทั้งสองฝ่ายที่ต้องใช้มาตรการป้องกัน ซึ่งสงครามสมัยใหม่มีการใช้โดรนมากขึ้น และไม่รู้ว่าจะมาจากทิศทางใด ทั้งนี้ ต้องขอบคุณประชาชนที่ร่วมบริจาคตาข่าย ให้กองทัพภาคที่ 2 นำมาใช้ป้องกันโดรน ส่วนการบริจาคเพิ่มเติมขึ้นอยู่กับประชาชน หากประชาชนมีความประสงค์ ก็ยินดีนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป
ทั้งนี้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ไม่ได้โทรศัพท์มาพูดคุยหรือสอบถามในเรื่องที่กองทัพรับบริจาคสิ่งของ โดยเฉพาะลวดหนาม แต่เชื่อว่าไม่มีปัญหา ซึ่งขณะนี้ลวดหนามหีบเพลงมีเพียงพอแล้ว ช่วงที่ผ่านมายอมรับว่ามีความจำเป็นต้องใช้ลวดหนาม เนื่องจากทหารควบคุมพื้นที่ได้จำนวนมาก จึงต้องวางลวดหนามเพื่อลดการลาดตระเวน ยืนยันว่า กองทัพกับรัฐบาลไม่ได้มีปัญหาขัดแย้งต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ซึ่งทหารก็ทำหน้าที่ป้องกันชายแดนส่วนรัฐบาลก็ทำหน้าที่ของรัฐบาล
แม่ทัพภาคที่ 2 ยังระบุว่า ทหารน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงห่วงใยสถานการณ์และทรงสอบถามเหตุการณ์โดยได้ทูลถวายรายงานต่อพระองค์ท่านทุกวัน ซึ่งนับเป็นกำลังใจให้ทหารในการปฏิบัติงานดูแลชายแดน
แม่ทัพภาคที่ 2 ยังระบุถึงความคืบหน้าการประชุมคณะกรรมการชายแดนระดับภูมิภาคไทยกัมพูชาหรือ RBC ว่า ฝ่ายกัมพูชาตอบรับแล้วโดยจะมีการประชุมในช่วงปลายเดือนสิงหาคมนี้ ระหว่างนี้ก็เป็นหน้าที่ของคณะเลขานุการ RBC ของทั้งสองฝ่ายเตรียมประเด็นการพูดคุย โดยจะใช้สถานที่ประชุมบริเวณแนวชายแดนในฝั่งไทยเพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่าย
ส่วนการหารือในที่ประชุม RBC จะบรรลุข้อตกลงที่สืบเนื่องจากการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชาหรือ GBC โดยเฉพาะเรื่องการหยุดยิงได้มากน้อยแค่ไหน อยู่ที่ผู้นำของทางกัมพูชา เพราะระดับแม่ทัพภาคของทางกัมพูชาก็ต้องรอการยืนยันจากผู้บังคับบัญชาอีกชั้นหนึ่ง
ทั้งนี้เรื่องทุ่นระเบิด เป็นหัวข้อหนึ่งที่จะนำเข้า หารือในที่ประชุม RBC เพราะฝ่ายกัมพูชาผิดเงื่อนไข ตามอนุสัญญาออตอวา ด้วยการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งกัมพูชาก็เป็นสมาชิกด้วย
แม้ที่ผ่านมากัมพูชาไม่ยอมรับเรื่องทุ่นระเบิด แต่ทางฝ่ายไทยก็จะประท้วงและสื่อสารไปในทางสากลให้รับทราบโดยจะผลักดันให้องค์การสหประชาชาติ หรือ UN และศูนย์ทุ่นระเบิดสากล ร่วมกันแก้ไขในเรื่องนี้
แม่ทัพภาคที่ 2 ยังระบุถึงท่าทีของกัมพูชาหลังไทยได้สื่อสารเรื่องการใช้สิทธิ์ป้องกันตนเอง หากมีความจำเป็นว่า ทางกัมพูชาก็มีการเตรียมพร้อมเป็นปกติ ทั้งนี้เชื่อว่า ทางกัมพูชาจะไม่ลดเรื่องของการใช้ทุ่นระเบิดสังหาร แต่ทหารไทยก็จำเป็นต้องลาดตระเวนในบางจุดเพราะหากไม่เข้าไปลาดตระเวนก็อาจจะถูกยึดคืน หรือถูกข้าศึกรุกเข้ามา ทั้งนี้ต้องใช้ความรอบคอบมาดที่สุด รวมทั้งใช้เครื่องจักร และรถกวาดทุ่นระเบิด แต่บางจุดรถก็อาจจะเข้าไม่ได้ก็ต้องใช้วิธีอื่น เช่น โดรน