TDRI ชี้หาก แพทองธารหลุดเก้าอี้ ฉุดศก.-เชื่อมั่น ห่วง GDP โตต่ำกว่า 2%
ดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวว่า หากในวันที่ 29 ส.ค.นี้ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยปมคลิปเสียงสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับสมเด็จฯฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา ว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไม่มีความผิดและสามารถกลับมาปฏิบัติหน้าที่ได้ จะถือเป็นผลบวกต่อเศรษฐกิจในระยะสั้น เพราะช่วยคลายความกังวลเรื่องสุญญากาศทางการเมือง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสามารถเดินหน้าต่อได้
"แม้ความเปราะบางของเสียงข้างมากในสภาฯ ยังคงเป็นข้อจำกัดที่ทำให้การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเชิงลึกยังดำเนินไปได้ไม่เต็มที่ แต่โดยรวมจะช่วยสร้างความมั่นใจต่อนักลงทุนและตลาดการเงินในทันที"
ส่วนความกังวลว่าอาจเกิดการณ์ประท้วงเกิดขึ้นตามมาหรือไม่นั้น มองว่า เกิดขึ้นได้ตามสิทธิและเสรีภาพ แต่จากอดีตที่ผ่านมาช่วงหลังไม่น่าจะยกระดับเป็นความวุ่นวายที่ส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจและสังคม
อย่างไรก็ตาม หากศาลวินิจฉัยว่ามีความผิดร้ายแรง ส่งผลให้นายกรัฐมนตรีต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่และต้องหาผู้นำใหม่ เศรษฐกิจจะเผชิญกับภาวะชะงักงันชั่วคราว โดยเฉพาะการเบิกจ่ายงบประมาณและมาตรการกระตุ้น ซึ่งอาจกระทบต่อการฟื้นตัวในระยะสั้น ส่วนผลต่อความเชื่อมั่นนักลงทุนจะเป็นลบในทันที แต่หากผู้นำใหม่มีความสามารถ และได้รับการยอมรับด้านเศรษฐกิจ ความเชื่อมั่นอาจฟื้นกลับมาได้เร็ว
"หากนายกฯ ต้องหยุดทำหน้าที่ และต้องหาผู้นำใหม่ จะทำให้เศรษฐกิจจะชะงักชั่วคราว ความเชื่อมั่นเป็นลบทันทีจากความไม่แน่นอน แต่หากได้ผู้นำใหม่มีความสามารถ ความเชื่อมั่นอาจฟื้นกลับมาได้เร็ว เป็นเรื่องที่ต้องจับตาดูอย่างว่าเป็นบุคคลใด"
สุดท้าย หากนายกรัฐมนตรีตัดสินใจลาออกเองหลังศาลวินิจฉัย แม้จะลดแรงกดดันในประเด็นทางจริยธรรม แต่ก็จะนำไปสู่สุญญากาศทางการเมืองชัดเจน และอาจยืดเยื้อไปถึงการยุบสภาเลือกตั้งใหม่ ซึ่งจะส่งผลให้มาตรการทางเศรษฐกิจหยุดชะงัก นักลงทุนและตลาดอาจตีความว่าเป็นสัญญาณของความเปราะบางทางการเมืองที่ยังคงหมุนวนไม่สิ้นสุด และทำให้ความเชื่อมั่นถดถอยลงรุนแรงกว่าในกรณีอื่น ๆ แต่กระนั้นประชาชนก็จะมีสิทธิเลือกผู้นำคนใหม่ที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาได้ผ่านกระบวนการเลือกตั้ง จึงอาจจะเป็นผลดีในระยะยาวก็เป็นได้
"สำหรับอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2568 นั้น มองว่าปีนี้น่าจะทำได้ประมาณ 1.8-2.0% ต่อปี แต่ถ้าเศรษฐกิจมีการชะงักงันทางการเมืองก็อาจทำให้ตัวเลขแย่ลงไปบ้าง ซึ่งมันก็มีทั้งข้อดีข้อเสียตามที่กล่าวไว้"