โพลสะเทือน ชายแดนคุกรุ่น สิงหากันยาระทึก 2+1 คดีกุมลมหายใจสองพ่อลูก
ชายแดนไทย–กัมพูชายังคงคุกรุ่นท่ามกลางความไม่แน่นอน ขณะที่ความเชื่อมั่นของประชาชนต่อรัฐบาลกำลังลดลง สองพ่อลูกชินวัตรกำลังเผชิญกับ 2+1 คดีคำตัดสินที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้ อาจเป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกมอำนาจและความไว้วางใจจึงอยู่บนเส้นด้ายครั้งสำคัญ
เดือนสิงหาคม–กันยายน 2568 กลายเป็น ช่วงเวลาสำคัญของการเมืองไทยและตระกูลชินวัตรทั้งในแง่ ความเชื่อมั่นของสังคมและ ความเคลื่อนไหวทางกฎหมาย
สองพ่อลูก ทักษิณและ แพทองธารกำลังเผชิญกับ 2+1 คดีสำคัญที่ศาลจะมีคำตัดสินในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ในขณะที่ สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชายังคงเต็มไปด้วย ความตึงเครียดและ ความไม่แน่นอนสูง
ผลสำรวจของ นิด้าโพลเปิดเผยความแตกต่างอย่างชัดเจนใน ความไว้วางใจของประชาชนเมื่อถามถึงการ ปกป้องผลประโยชน์ชาติในกรณีความขัดแย้งชายแดน กองทัพได้รับคะแนน “ไว้วางใจมาก”ถึง 75.73% และ “ค่อนข้างไว้วางใจ”อีก 19.31%
ในขณะที่ รัฐบาลไทยได้รับคะแนน “ไว้วางใจมาก”เพียง 4.66% และ “ค่อนข้างไว้วางใจ”11.45% ส่วนที่ระบุว่า “ไม่ไว้วางใจเลย”มีมากถึง 54.58% และ “ไม่ค่อยไว้วางใจ”อีก 29.01%
นอกจากคะแนนไว้วางใจ รัฐบาลยังถูกประเมินต่ำในแง่ ความพอใจต่อบทบาทในการแก้ไขปัญหาชายแดนโดยกองทัพได้รับคะแนน “พอใจมาก”ถึง 75.42% ขณะที่รัฐบาลมีคะแนน “พอใจมาก”เพียง 4.27% เท่านั้น
คะแนนเหล่านี้สะท้อนถึง แรงกดดันอย่างหนักที่รัฐบาลต้องเผชิญทั้งในด้าน ภาพลักษณ์และ นโยบาย
ในขณะเดียวกัน 2+1 คดีสำคัญของสองพ่อลูกก็กำลังเดินหน้าสู่ ช่วงตัดสิน
ได้แก่ คดีมาตรา 112ของทักษิณ ที่ศาลอาญานัดอ่านคำพิพากษาในวันที่ 22 สิงหาคมและ คดีบังคับโทษชั้น 14ที่ศาลฎีกาจะนัดฟังคำสั่งในวันที่ 9 กันยายน
ส่วนแพทองธาร รอฟังคำวินิจฉัย คดีคลิปเสียงฮุนเซนที่ศาลรัฐธรรมนูญขยายเวลาชี้แจงรอบสุดท้ายถึง วันที่ 4 สิงหาคมที่ผ่านมา
ผลลัพธ์ของคดีเหล่านี้ยัง เปิดกว้างทั้งโอกาสที่ศาลจะตัดสิน เป็นคุณหรือ ไม่เป็นคุณ แต่ไม่ว่าจะออกมาในทางใด ผลกระทบทางการเมืองจะมีความ กว้างและ ลึกซึ้งเพราะทั้งสองพ่อลูกมีบทบาทที่เชื่อมโยงกับ โครงสร้างอำนาจและ การกำหนดทิศทางของรัฐบาลอย่างแนบแน่น
จังหวะเวลาที่คดีเหล่านี้ออกมาใกล้เคียงกัน จึงเป็นหนึ่งใน จุดเปลี่ยนสำคัญของการเมืองไทย หลายฝ่ายจับตามองคำตัดสินที่จะส่งผลถึง สมดุลอำนาจในรัฐบาลและ อนาคตของพรรคเพื่อไทย
คู่ขนานกับคดีในศาล คือ สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาที่ยังเต็มไปด้วย ความไม่แน่นอนสูงแม้ที่เวที GBCจะบรรลุ ข้อตกลง 13 ข้อและประกาศ หยุดยิงอย่างเป็นทางการ แต่ในพื้นที่จริงยังพบ ทุ่นระเบิดของกัมพูชาที่ถูกฝังไว้จำนวนมาก และมีเหตุการณ์เล็ก ๆ เกิดขึ้นเป็นระยะ ทั้งหมดนี้ตอกย้ำว่า สถานการณ์ชายแดนยังคงคุกรุ่นและต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
กำลังทหารทั้งสองฝ่ายยังอยู่ในภาวะ เตรียมพร้อมเต็มที่แม้ไม่มีเหตุปะทะเปิดหน้า แต่ความตึงเครียดยังคงสูง และฝ่ายต่าง ๆ ยังระมัดระวังอย่างเข้มงวด
ในมิติ ความเชื่อมั่นกองทัพยังได้รับคะแนนไว้วางใจสูงสุด ในขณะที่รัฐบาลแพทองธารยังตามหลังอย่างมีนัยสำคัญ
การจัดการปัญหาชายแดนจึงกลายเป็นหนึ่งใน สนามวัดศักยภาพที่ทุกฝ่ายต้องจับตามอง
สถานการณ์ที่ยังไม่แน่นอนนี้ อาจส่งผลต่อ ความต่อเนื่องของนโยบายความมั่นคงและเปิดช่องให้เกิด ความไม่แน่นอนในพื้นที่เสี่ยงเพิ่มขึ้น
วันที่ 22 สิงหาคมและ 9 กันยายนไม่ใช่เพียงวันที่วงไว้ใน ปฏิทินศาลแต่ยังเป็นวันที่หลายฝ่ายมองว่าจะกำหนด ทิศทางการเมืองในช่วง ไตรมาสสุดท้ายของปีนี้
สำหรับ ทักษิณผลของ คดีมาตรา 112และ คดีบังคับโทษชั้น 14อาจกลายเป็น ตัวเร่งให้เกิด การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างกะทันหัน หรืออาจทำให้เขายังคงเดินเกมต่อได้อย่างมั่นใจ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เหตุการณ์นี้จะถูกตีความในแง่การเมืองอย่างเข้มข้น
ในขณะเดียวกัน คดีคลิปเสียงฮุนเซนของ แพทองธารเปรียบเสมือน เงาที่เดินตามคดีของบิดาไม่ห่าง หากศาลตัดสินให้พ้นจากตำแหน่ง กระบวนการ เปลี่ยนผู้นำจะเกิดขึ้นตาม กลไกของสภาโดยทันที ส่วนหากรอดพ้น ผลทางการเมืองจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
สถานการณ์นี้จึงไม่ใช่เพียงการลุ้นผลคดี แต่ยังเป็นการลุ้น ทิศทางใหม่ของการเมืองไทยในช่วงที่ชายแดนยังไม่สงบ และ แรงศรัทธาต่อรัฐบาลกำลังร่วงลงอย่างต่อเนื่อง
เมื่อมองย้อนกลับตั้งแต่วันที่ ทักษิณกลับประเทศไทยเหตุการณ์เหมือนถูกเร่งให้เดินมาสู่จุดนี้อย่างรวดเร็ว เขาใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนในการ สร้างเครือข่ายและ วางหมากการเมืองอย่างต่อเนื่อง
แต่สุดท้ายก็ต้องหยุดรอฟัง คำตัดสินที่อาจเปลี่ยน สมดุลอำนาจทั้งหมด
รัฐบาลแพทองธารถูกมองว่าเป็น เงาสะท้อนของทักษิณอย่างชัดเจน การเคลื่อนไหวทุกครั้งถูกตีความว่าเป็นการสะท้อน อำนาจของผู้เป็นพ่อดังนั้น ผลคดีของทักษิณจึงถูกเชื่อมโยงโดยตรงกับ ชะตากรรมของรัฐบาลชุดนี้
ขณะเดียวกัน ปัญหาชายแดนยังสร้าง แรงกดดันคู่ขนานอย่างต่อเนื่อง แม้กองทัพจะยังได้รับ คะแนนไว้วางใจสูงแต่รัฐบาลยังคงถูกคาดหวังให้ กำหนดทิศทางนโยบายอย่างชัดเจนโดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ การเปลี่ยนผ่านผู้นำอาจเกิดขึ้นได้
สองเดือนนี้จึงไม่ใช่เพียง ช่วงเวลารอฟังคำพิพากษา 2+1 คดีเท่านั้น แต่เป็นช่วงเวลาที่จะกำหนดว่า ทักษิณจะยังคง กุมลมหายใจการเมืองไทยต่อไปได้หรือไม่
หาก ผ่านด่านศาลทั้งหมดอย่างราบรื่น เขาและ รัฐบาลแพทองธารจะได้รับ แรงหนุนเพียงพอให้เดินเกมต่ออย่างมั่นใจ
แต่ถ้าพลาดเพียงหนึ่งคดี เกมรุกอาจต้องปรับเปลี่ยนเป็น เกมรับเพื่อรักษา พื้นที่อำนาจและ ความอยู่รอดทางการเมืองในระยะยาว
สถานการณ์ชายแดนที่ยังไม่เอื้อต่อความเปลี่ยนแปลง ยิ่งเพิ่มความ ซับซ้อนให้กับ แรงกดดันทางการเมืองของรัฐบาลในช่วงเวลานี้
เส้นตายทางการเมืองที่ยังไม่มีใครตอบได้คือ หลังเสียงตัดสินสุดท้ายดังขึ้น โครงสร้างอำนาจที่ตระกูลชินวัตรสร้างขึ้นจะยังคงอยู่หรือจะถูก บีบให้ยุติลงอย่างกะทันหัน.