PTTGC รับผลบวกปฏิรูปปิโตรเคมี โบรกอัพราคาเป้าหมายเป็น 27.00 บ.
หุ้นวิชั่น
อัพเดต 26 สิงหาคม 2568 เวลา 18.19 น. • เผยแพร่ 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา • HoonVision | หุ้นวิชั่น - หุ้น ข่าวหุ้น หุ้นไทยวันนี้ หุ้นวันนี้ หุ้นเด่น วิเคราะห์หุ้น ธุรกิจ การเงิน เศรษฐกิจ การลงทุน ดัชนีราคาหุ้นหุ้นวิชั่น - บล.เคจีไอ มองเกาหลีใต้–จีนเดินหน้าลดกำลังการผลิตและยกระดับประสิทธิภาพปิโตรเคมี ช่วยสร้างบวกต่อ sentiment กลุ่มเคมีภัณฑ์ แต่ยังเผชิญภาวะอุปทานล้นตลาดโลก โดยเฉพาะ polyolefins (PE, PP) กดดัน spread ให้อยู่ระดับต่ำ ขณะที่กำไรธุรกิจหลักของ PTTGC คาดดีขึ้น QoQ ในไตรมาส 3/68 จากปัจจัย ethane เพิ่มขึ้น–spread น้ำมันดีเซลกว้างขึ้น อย่างไรก็ดี ราคาหุ้นมี upside จำกัด จึงแนะทยอยทำกำไร
บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุถึง PTTGC ว่า เกาหลีใต้และจีนขับเคลื่อนการปฏิรูปปิโตรเคมีด้วยการลดกำลังการผลิตและยกระดับประสิทธิภาพ เกาหลีใต้และจีนกำลังดำเนินการปฏิรูปอุตสาหกรรมปิโตรเคมีครั้งใหญ่ โดยรัฐบาลเกาหลีใต้กำหนดให้บริษัทสิบแห่งลดกำลังการผลิตปิโตรเคมี (ที่ใช้วัตถุดิบจาก naphtha) ลง 2.7–3.7 MTA คิดเป็น 18%–25% ของกำลังการผลิตรวมทั้งประเทศ ขณะเดียวกัน จีนมีแผนจะปลดระวางโรงงานที่มีอายุเกิน 30 ปี และปรับปรุงโรงงานที่มีอายุเกิน 20 ปี ภายใต้นโยบาย anti-involution
นอกจากนี้ PTTGC คาดว่าในปี 2568F โรงงาน polyethylene (PE) ที่มีอายุเกิน 20 ปี ในจีนจะมีกำลังการผลิตรวมประมาณ 5 MTA หรือ 13.1% ของกำลังการผลิต PE ทั้งหมดของจีน ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดในบรรดาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีหลักทั้งหมด (Figure 1) มาตรการเหล่านี้คาดว่าจะช่วยสร้าง sentiment เชิงบวก ให้กับกลุ่มปิโตรเคมี แต่ปัจจัยพื้นฐานด้านอุปสงค์และอุปทานยังคงอยู่ในภาวะล้นตลาดอย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งนี้ ในปี 2568F คาดว่า PE ในตลาดโลกจะมีอุปทานล้นตลาดราว 33 MTA และ polypropylene (PP) จะล้นตลาดประมาณ 29 MTA โดยอุปทานที่ล้นตลาดทั้งสองผลิตภัณฑ์คาดว่าจะถึงจุดสูงสุดในปี 2571F ดังนั้น แม้เกาหลีใต้จะลดกำลังการผลิตปิโตรเคมี (ที่ใช้วัตถุดิบจาก naphtha) ได้ตามแผน และจีนจะเดินหน้านโยบาย anti-involution ได้สำเร็จในช่วงปี 2569F–2572F แต่ polyolefins (PE+PP) ในตลาดโลกก็ยังคงอยู่ในภาวะล้นตลาดสูงจึงยังคงประมาณการ spread ของ HDPE ในปี 2568F ที่ระดับต่ำ US$380/ton และในปี 2569F ที่ US$400/ton ขณะที่คาดว่า spread ของ PP ทั้งปีนี้และปีหน้าจะทรงตัวในระดับต่ำที่ US$380/ton
คาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักใน 3Q68F จะดีขึ้น QoQ
เราคาดว่าผลขาดทุนจากธุรกิจหลักของ PTTGC จะดีขึ้น QoQ ใน 3Q68F จากปัจจัยสนับสนุนหลัก ได้แก่ ปริมาณ ethane ที่เพิ่มขึ้น ใช้เป็น feedstock ในการผลิต olefins, spread ของน้ำมันดีเซลที่กว้างขึ้น, ไม่มีการปิดโรงงาน OLE2/1 เหมือนใน 2Q68, และ ไม่ต้องรับรู้ผลขาดทุนจากการดำเนินงานของ Vencorex France เต็มไตรมาส หลังเข้าสู่กระบวนการชำระบัญชี (liquidation process) เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม คาดว่าปริมาณ ethane ที่ PTTGC ใช้เป็น feedstock จะเพิ่มขึ้น 5% HoH เป็น 923 ล้านตันใน 2H68F เนื่องจากแหล่งเอราวัณและบงกชในประเทศไทยไม่มีกำหนดปิดซ่อมบำรุง
นอกจากนี้ คาดว่า market GRM ของ PTTGC จะปรับตัวดีขึ้น QoQ จาก spread ของน้ำมันดีเซล QTD เพิ่มขึ้น 18% QoQ เป็น US$18.6/bbl และ premium ของ Dated Brent-over-Dubai ลดลงจาก US$0.92/bbl ใน 2Q68 เป็น US$0.12/bbl ในเดือนกรกฎาคม และ -US$0.83/bbl ในเดือนสิงหาคม
ทั้งนี้ ใน 2Q68 สัดส่วนการผลิตน้ำมันดีเซลของ PTTGC อยู่ที่ 57% สูงที่สุดในบรรดาโรงกลั่นไทย ขณะที่ประมาณ 60%-65% ของน้ำมันดิบที่ใช้ในการผลิตเป็นเกรดที่ผูกกับ Brent
Valuation & Action
ท่ามกลาง sentiment เชิงบวกของกลุ่มปิโตรเคมี จากการที่เกาหลีใต้และจีนขับเคลื่อนการปฏิรูปอุตสาหกรรมด้วยการปรับลดกำลังการผลิตและยกระดับประสิทธิภาพ เราปรับเพิ่มราคาเป้าหมาย 1H69F ของ PTTGC เป็น 27.00 บาท จากเดิม 25.00 บาท เพื่อสะท้อน EV/EBITDA ใหม่ที่เพิ่มขึ้นเป็น 7.75x (เดิม 7.50x)อย่างไรก็ตาม ปรับลดคำแนะนำ PTTGC จาก “ซื้อ” เป็น “ถือ” เนื่องจากเหลือ upside จำกัดถึงราคาเป้าหมายใหม่ จึงแนะนำให้ทยอยทำกำไรไปก่อน