ย้อนวิกฤติ THAI สวนทางราคาหุ้น ก่อนทิ้งทวนชนซิลลิ่ง 3.32 บาท
ก้าวออกจากแผน"พร้อมประกาศคัมแบ็กตำแหน่งเบอร์ 1 ในธุรกิจสายการบินของประเทศ" และระดับภูมิภาค ย้อนไปปลายปี 2562 THAI อยู่ในภาวะขาดทุนต่อเนื่องมานานถึง 8 ปี อยู่ในแผนการฟื้นฟูกิจการขององค์กรมาถึงเกือบ 5 ปี แต่ยังไม่สามารถผ่าตัดองค์กรแห่งนี้ให้สำเร็จได้จริง จนไวรัสโควิด-19 ทำให้กระบวนการผ่าตัดองค์กรเกิดขึ้นจริงจัง “ด้วยการฟื้นฟูกิจการผ่านศาลล้มละลายกลาง”
สิ้นปี 2562 THAI มีรายได้ 1.88 แสนล้านบาท ขาดทุน 12,042 ล้านบาท ขาดทุนสะสม 19,383 ล้านบาท มีหนี้สินรวม 2.44 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นหนี้ที่ต้องชำระภายใน 1 ปี จำนวน 21,730 ล้านบาท ซึ่งเจ้าหนี้ส่วนใหญ่ ณ สิ้นปี 2562 เป็นกลุ่มผู้ถือหุ้นกู้ 74,108 ล้านบาท มีผู้ถือหุ้นกู้คือสหกรณ์ 84 แห่ง และสถาบันการเงินบางส่วน ผู้ให้เช่าเครื่องบิน 46,456 ล้านบาท เงินกู้ระยะยาวจากสถาบันการเงิน 8,873 ล้านบาท เงินกู้ระยะสั้นจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง 3,500 ล้านบาท เงินกู้จากต่างประเทศผ่านกระทรวงการคลัง 11,977 ล้านบาท เงินกู้ภายในประเทศจากสถาบันการเงินต่างๆ 2,000 ล้านบาท และเงินกู้ต่างประเทศผ่าน เอ็กซ์ ซิมแบงก์ 437 ล้านบาท
บริษัทมี กระแสเงินสดในมือแค่ 21,663 ล้านบาท ส่งผลทำให้เมื่อไม่มีรายได้เข้ามา (ช่วงโควิด) จึงประสบปัญหาสภาพคล่องหนัก จนต้องร้องขอความช่วยเหลือจากผู้ถือใหญ่ด้วยการค้ำประกันเงินกู้ล็อตแรก 50,000 ล้านบาท เมื่อประเมินจากเม็ดเงินกู้ดังกล่าวอาจจะหล่อเลี้ยงบริษัทให้ดำเนินธุรกิจต่อไปได้ 3-4 เดือน เนื่องจากการบินไทยมีรายได้จ่ายคงทีประมาณ 13,000 ล้านบาทต่อเดือน แต่มีหนี้ที่ต้องชำระ 240,000 ล้านบาท ส่วนทุนติดลบ 127,235 ล้านบาท
ดังนั้นจึงเป็นทางบังคับ เข้าแผนฟื้นฟูกิจการเกิดขึ้นปี 2563 ซึ่งมีเป้าหมายดำเนินการตามแผนให้แล้วเสร็จภายใน 5 ปี ประกอบด้วย 1.จดทะเบียนเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ เพื่อรองรับการปรับโครงสร้างทุน 2.การดำเนินการตามแผนฟื้นฟู โดยไม่เกิดเหตุผิดนัด
3. มี EBITDA หลังหักค่าเช่าเครื่องบินตามงบเฉพาะกิจการย้อนหลัง 12 เดือนประมาณ 40,308 ล้านบาท สูงกว่าที่กำหนด 20,000 ล้านบาท และมีส่วนของผู้ถือหุ้นตามงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทเป็นบวกจากการปรับโครงสร้างทุน และ 4 ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นอนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการใหม่ จนประสบความสำเร็จ “ศาลฯ อนุมัติออกจากแผนฟื้นฟู” เมื่อ 16 มิ.ย. 2568 ด้วยการผ่านแผนตามที่กำหนด
"พิสูจณ์ฝีมือผู้บริหารแผนด้วยงบไตรมาสที่ 1/68" มีรายได้รวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) 51,625 ล้านบาท เพิ่มขึ้น12.3% (Y-Y) กำไรจากการดำเนินงาน (ก่อนต้นทุนทางการเงินไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) 13,661 ล้านบาท อัตราการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) เท่ากับ 83.3% และ อัตราผลตอบแทนต่อผู้โดยสาร (Passenger Yield) เท่ากับ 2.91 ใกล้เคียงกับปีก่อน
แม้จะยังไม่กลับมามีกำไรสุทธิยังภาระหนี้ 9.5 หมื่นล้านบาท รวมดอกเบี้ย โดยมีกำหนดคืนหนี้ชัดเจนแล้วตามแผนฟื้นฟูกิจการจนถึงปี 2579 แต่ สามารถลด DE มาอยู่ที่ 2.2 เท่า จาก12.5 เท่าในปี 2562 และกลับมามีกระแสเงินสดมั่นคง 1.25 แสนล้านบาท ส่วนทุนถือว่าเป็นการ “วัดตลาดหุ้น” จะต้อนรับการกลับมาของ THAI ด้วย “ราคาพรีเมี่ยมหรือยังกังวล” จนสะท้อนไปยังราคาหุ้นทั้งหมดในการซื้อขายวันแรกที่ไร้ “ซิลลิ่ง-ฟลอร์” จากราคาขายหุ้นเพิ่มทุนแถว 4.48 บาท P/E Ratio ที่ 4.2 เท่า ด้วยการลดพาร์ลงจาก 10 บาท มาที่ 1.30 บาท ทุนจดทะเบียน 5.5 หมื่นล้านบาท
ย้อนราคา THAI ช่วงก่อนปิดทำการซื้อขายปี2564 ช่วง 7 วันทำการ (1 เม.ย.-10 เม.ย.64) มีการไล่ราคาอย่างหนักจากราคา 3.18 บาท มาอยู่ที่ 6.35 บาท หรือเป็นการเพิ่มขึ้นถึง 100 % และช่วงเวลา 1 เดือน (16 เม.ย.-17 พ.ค. 64 ) ตลาดหลักทรัพย์เปิดให้ซื้อขายจนกว่าแก้ไขส่วนทุนให้กลับมาเป็นปกติ ราคาหุ้นยิ่งพุ่งหนักเพิ่มขึ้น 38.33 % ซึ่งในช่วง 2 วันสุดท้ายที่มีการขาย ราคาปิดบวกช่วงท้ายตลาดจนดันขึ้นมาซิลลิ่ง 3.32 บาท จากราคาเปิด 2.90 บาท หรือเพิ่มขึ้น 29.69 % (17 พ.ค.64)
ยิ่งเห็นราคาที่ทิ้งท้ายก่อนปิดซื้อขายแล้ว “เก็งกำไร-เก็บหุ้น” รอเทรดสนั่น รับสตอรี่ใหม่แน่นอน