ศึก 'เพชรแท้' ปะทะ 'เพชรเทียม' เมื่อเพชรที่สร้างจากห้องแล็บกำลังยึดครองตลาดอัญมณี

อุตสาหกรรมเพชรกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อ “เพชรที่ผลิตในห้องแล็บ” (Lab-Grown Diamonds) ทะลักเข้าสู่ตลาด ท้าทายอำนาจของ “เพชรธรรมชาติ” ที่เคยครอบงำมานานกว่าศตวรรษ การมาถึงของเพชรสังเคราะห์ที่ราคาถูกกว่ามาก ทำให้ซีอีโอของ De Beers บริษัทเพชรยักษ์ใหญ่ ต้องออกมาปกป้องภาพลักษณ์ "ความหรูหรา" ของเพชรธรรมชาติ และกอบกู้อุตสาหกรรมจากวิกฤติครั้งนี้

การรุกคืบของเพชรสังเคราะห์

เมื่อสิบปีที่แล้ว เพชรที่สร้างขึ้นในห้องทดลองยังเป็นเรื่องใหม่ แต่ปัจจุบันกลับกลายเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย เพชรสังเคราะห์เหล่านี้สามารถผลิตได้โดยการจำลองสภาวะความดันและอุณหภูมิสูงใต้พื้นโลก มีคุณสมบัติทางกายภาพและเคมีไม่ต่างจากเพชรธรรมชาติทุกประการ แต่มีราคาถูกกว่ามาก

การหลั่งไหลเข้ามาของเพชรสังเคราะห์จากแหล่งผลิตทั่วโลก โดยเฉพาะจากจีนและอินเดีย ทำให้ความต้องการเพชรธรรมชาติลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

ข้อมูลจาก Paul Zimnisky นักวิเคราะห์อิสระ ชี้ให้เห็นว่าปัจจุบันเพชรสังเคราะห์มีสัดส่วนมากกว่า 1 ใน 5 ของยอดขายเครื่องประดับเพชรทั่วโลก เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากไม่ถึง 1% ในปี 2559 ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับแหวนหมั้น ซึ่งเป็นตลาดสำคัญ ยอดขายเพชรสังเคราะห์ในสหรัฐเมื่อปีที่แล้วมีสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งของยอดซื้อทั้งหมด เพิ่มขึ้นถึง 40% จากปี 2019 สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคจำนวนมากเริ่มหันมาเลือกเพชรสังเคราะห์สำหรับโอกาสสำคัญ

เดิมพันครั้งใหญ่ กอบกู้เพชรธรรมชาติ

อัล คุก ซีอีโอคนใหม่ของ De Beers ซึ่งเข้ารับตำแหน่งในช่วงต้นปี 2023 ได้แสดงท่าทีชัดเจนในการปกป้องเพชรธรรมชาติ หนึ่งในการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญของเขาคือการ ปิดโรงงานผลิตเครื่องประดับเพชรสังเคราะห์ Lightbox ซึ่งเป็นแบรนด์ของ De Beers เอง การตัดสินใจนี้เป็นการเดิมพันครั้งใหญ่ว่า De Beers จะสามารถฟื้นฟูราคาเพชรธรรมชาติที่ตกต่ำมาหลายปีได้

คุกมองว่าการที่เพชรสังเคราะห์ถูกนำเสนอและจำหน่ายในราคาที่แตกต่างกันอย่างมาก ทำให้เกิด "การหลอกลวงครั้งใหญ่" ในตลาด เขาเชื่อว่าสิ่งนี้กำลังลดทอนคุณค่าและความพิเศษของเพชร ที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของความล้ำค่าและหายากมายาวนาน "ผมกังวลมากว่าจะมีการหลอกลวงครั้งใหญ่เกี่ยวกับเพชรที่ผลิตในห้องแล็บ" คุกกล่าว "ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันจะยั่งยืนได้"

เพื่อตอบโต้กระแสนี้ De Beers ได้เพิ่มงบประมาณการตลาดอย่างมหาศาล ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบทศวรรษ โดยร่วมกับ Anglo American บริษัทแม่ และร่วมมือกับองค์กรอย่าง Natural Diamond Council ที่ใช้แคมเปญการตลาดเชิงรุกเพื่อส่งเสริมเพชรธรรมชาติ เช่น การเรียกเพชรสังเคราะห์ว่า "The Dupe" หรือของปลอม และเปรียบเทียบเพชรธรรมชาติว่า "For Better" (เพื่อสิ่งที่ดีกว่า) ในขณะที่เพชรสังเคราะห์คือ "For Worse" (เพื่อสิ่งที่แย่กว่า)

ระหว่าง ‘หรูหรา’ กับ ‘ราคาเข้าถึงได้’

ในขณะที่ร้านเครื่องประดับหรูหราส่วนใหญ่ เช่น Tiffany & Co. ยังคงปฏิเสธที่จะขายเพชรสังเคราะห์ โดยให้เหตุผลว่าเพชรเหล่านี้ไม่ได้หายากหรือเป็นธรรมชาติ และมี "มากเกินความจำเป็น" แต่ร้านที่เน้นการแข่งขันด้านราคาเริ่มปรับตัวอย่างเห็นได้ชัด

Walmart ผู้จำหน่ายเครื่องประดับรายใหญ่อันดับสองของสหรัฐฯ มียอดขายเพชรสังเคราะห์พุ่งสูงถึง 175% ในปี 2567 เนื่องจาก "ลูกค้าของเรามองหาคุณค่าประเภทนั้น" คริส สไตน์มันน์ รองประธานฝ่ายการขายสินค้าของ Walmart กล่าว

เช่นเดียวกับ Pandora ผู้ค้าปลีกเครื่องประดับชื่อดัง ที่ตัดสินใจในปี 2021 ที่จะขายเฉพาะเพชรสังเคราะห์เท่านั้น โดยให้เหตุผลไม่เพียงแค่ราคาที่ถูกกว่า แต่ยังมองว่าส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่าด้วย

ส่วน Signet Jewelers ร้านเพชรรายใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์ดังอย่าง Kay Jewelers, Zales และ Jared ก็กำลังใช้กลยุทธ์แบบผสมผสาน JK Symancyk ซีอีโอคนใหม่ของ Signet ได้วางแผนที่จะผลักดันการใช้เพชรสังเคราะห์สำหรับเครื่องประดับแฟชั่น เช่น สร้อยข้อมือ ต่างหู และสร้อยคอ เพื่อตอบสนองความต้องการด้านราคา แต่ยังคงตั้งเป้าที่จะปกป้องเสน่ห์ของเพชรธรรมชาติสำหรับ "การซื้อที่สำคัญ" อย่างแหวนหมั้น ยอดขายเครื่องประดับแฟชั่นที่ทำด้วยเพชรสังเคราะห์ของ Signet เพิ่มขึ้น 60% ในไตรมาสล่าสุด ซึ่งช่วยให้ยอดขายโดยรวมของบริษัทกลับมาเติบโตได้อีกครั้ง

เมื่อราคาเพชรดิ่ง… คุณค่าในใจผู้บริโภคก็สั่นคลอน

การที่เพชรสังเคราะห์ (Lab-Grown Diamonds) ทะลักเข้าสู่ตลาดอย่างมหาศาล กำลังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อราคาและมุมมองของผู้บริโภคที่มีต่อเพชรทั้งสองประเภท ทั้งเพชรสังเคราะห์และเพชรธรรมชาติ

ข้อมูลจาก Zimnisky นักวิเคราะห์อุตสาหกรรม ชี้ให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของราคาอย่างน่าตกใจ:

• ราคาขายปลีกของเพชรสังเคราะห์ขนาด 1 กะรัต ได้ลดฮวบลงถึง 86% นับตั้งแต่ต้นปี 2559 ปัจจุบันมีราคาเหลือเพียงประมาณ 745 ดอลลาร์
• ในขณะที่เพชรธรรมชาติขนาดเดียวกัน ก็ได้รับผลกระทบ โดยราคาลดลง 40% ในช่วงเวลาเดียวกัน มาอยู่ที่ประมาณ 3,925 ดอลลาร์

ย้อนกลับไปในปี 2559 เพชรสังเคราะห์ขนาด 1 กะรัตกับเพชรธรรมชาติมีส่วนต่างราคากันเพียงประมาณ 1,000 ดอลลาร์ แต่ในปัจจุบัน เพชรธรรมชาติมีราคาสูงกว่าเพชรสังเคราะห์ถึงประมาณห้าเท่าตัว

การที่ราคาเพชรสังเคราะห์ลดลงอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องนี้ กำลังสร้างความผิดหวังให้กับผู้บริโภคบางรายที่เคยซื้อไปก่อนหน้านี้ ตัวอย่างเช่น ดูเร่ รอสส์ ที่ซื้อต่างหูเพชรสังเคราะห์คู่หนึ่ง เธอบอกว่ารู้สึกเหมือนกับได้ "กระเป๋าถือปลอม" มา แม้ว่าในความเป็นจริงแล้วเพชรสังเคราะห์จะไม่ได้เป็นของปลอมก็ตาม แต่การเปรียบเทียบนี้สะท้อนให้เห็นว่า ราคาที่ดิ่งลงอย่างรวดเร็ว อาจทำให้ผู้บริโภคบางส่วนมองว่าคุณค่าหรือความพิเศษของเพชรสังเคราะห์ลดลงตามไปด้วย

อนาคตของอุตสาหกรรมเพชร

อุตสาหกรรมเพชรกำลังยืนอยู่บนทางแยกสำคัญ เมื่อผู้ค้าปลีกรายใหญ่ต่างมีแนวทางที่แตกต่างกัน Pandora และ Walmart มองว่าเพชรสังเคราะห์คือ เทรนด์แห่งอนาคตที่ไม่อาจต้านทานได้ โดยเน้นไปที่คุณค่าและราคาที่เข้าถึงง่าย ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่

อนาคตของอุตสาหกรรมเพชรจึงขึ้นอยู่กับคำถามสำคัญว่า ผู้บริโภคจะยังคงให้คุณค่ากับ "ความหายาก" และ "เรื่องราว" เบื้องหลังของเพชรธรรมชาติมากน้อยเพียงใด? หรือจะหันไปยอมรับเพชรสังเคราะห์ที่เข้าถึงได้ง่ายกว่า ในฐานะทางเลือกที่สมเหตุสมผลและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น?