[Vision Exclusive] ORI ครึ่งหลังฟื้นแรง ตุน Backlog 4.5หมื่นล.
หุ้นวิชั่น
อัพเดต 1 วันที่แล้ว • เผยแพร่ 4 ชั่วโมงที่ผ่านมา • HoonVision | หุ้นวิชั่น - หุ้น ข่าวหุ้น หุ้นไทยวันนี้ หุ้นวันนี้ หุ้นเด่น วิเคราะห์หุ้น ธุรกิจ การเงิน เศรษฐกิจ การลงทุน ดัชนีราคาหุ้นหุ้นวิชั่น - ORI มั่นใจครึ่งปีหลังฟื้นตัวแรง! ภาคอสังหาริมทรัพย์ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วยอดขายแนวราบพุ่ง–คอนโดกลับสู่ระดับปกติ เดินหน้ารุกเปิดโครงการใหม่ 2 หมื่นล้าน พร้อม Backlog สูงสุดในอุตสาหกรรมกว่า 45,000 ล้านบาท! เสนอรัฐเร่งลดดอกเบี้ย – หนุนรวมหนี้ข้ามแบงก์ หวังคลายหนี้ครัวเรือน กระตุ้นกำลังซื้อ เร่งเสริมพอร์ต REIT คลังสินค้า–โรงแรม ดัน Recurring Income โตระยะยาว
นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญจากปัจจัยแวดล้อมหลายด้าน โดยเฉพาะในไตรมาส 2/2568 ที่เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว ส่งผลให้ลูกค้าชะลอการตัดสินใจซื้อโครงการคอนโดมิเนียมบางส่วน ขณะเดียวกัน กลับส่งผลให้ความต้องการในโครงการบ้านจัดสรรปรับตัวดีขึ้น
บริษัทจึงได้มีการปรับกลยุทธ์การขายให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภค โดยในช่วงที่เกิดแผ่นดินไหว ยอดขายคอนโดมิเนียมซึ่งเคยอยู่ที่ 100–120 ยูนิตต่อสัปดาห์ ลดลงเหลือเพียงราว 20 ยูนิตต่อสัปดาห์ อย่างไรก็ตาม บริษัทประเมินว่าตลาดต้องใช้เวลาฟื้นตัวราว 3–6 เดือน ซึ่งปัจจุบัน (เดือนมิถุนายน) ยอดขายได้กลับเข้าสู่ระดับปกติแล้ว
*ยอดขายดีต่อ
ในขณะเดียวกัน โครงการแนวราบโดยเฉพาะบ้านจัดสรรได้รับผลบวก โดยในสัปดาห์แรกที่เกิดแผ่นดินไหว มียอดขายเพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ละ 20 หลัง จากระดับปกติที่ 12 หลังต่อสัปดาห์ และจนถึงปัจจุบันก็ยังสามารถรักษาระดับยอดขายได้ดีอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ บริษัทได้รับผลกระทบบางส่วนจากประเด็นด้านภาษีของสหรัฐฯ (Trump Tariff Policy) ซึ่งส่งผลต่อกำลังซื้อของกลุ่มลูกค้าต่างชาติ แต่ด้วยการบริหารจัดการที่ยืดหยุ่นและการปรับกลยุทธ์ที่รวดเร็ว ทำให้บริษัทสามารถรักษาโมเมนตัมการเติบโตได้ดี โดยเฉพาะในไตรมาส 2/2568 ที่ยังสามารถสร้างผลประกอบการเติบโตได้จากยอดขายโครงการใหม่และ Backlog ที่ทยอยรับรู้รายได้
ภาคอสังหาริมทรัพย์ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว โดยช่วงปลายปีที่ผ่านมาและต้นปีนี้ถือเป็นช่วงที่ธุรกิจเผชิญแรงกดดันมากที่สุด ในมุมมองของออริจิ้น อย่างไรก็ตาม แม้ว่า สถานการณ์ในครึ่งปีหลังยังคงมีปัจจัยกดดันเดิม ทั้งจากสงครามการค้า ปัญหาเศรษฐกิจโดยรวม และภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง แต่บริษัทเชื่อว่าสามารถปรับตัวและบริหารจัดการได้ในระดับที่เหมาะสมจากแนวโน้มดังกล่าว บริษัทคาดว่าผลประกอบการในไตรมาส 3/2568 จะปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2568 และเชื่อว่าไตรมาส 4/2568 จะมีทิศทางที่แข็งแกร่งขึ้นอีก ส่งผลให้ภาพรวมครึ่งปีหลังกลับเข้าสู่ระดับปกติ และมีแนวโน้มที่ดีกว่าครึ่งปีแรกอย่างมีนัยสำคัญ
ส่วนการรับมือบริษัทพยายามกลั่นกรองลูกค้า หามาตรการต่างมาช่วยลูกค้ามาช่วยลูกค้าแก้เคส อาจจะต้องใช้ระยะเวลาหน่อย แต่กจะทำให้การปฏิเสธสินเชื่อลดลง ดังนั้นไม่ได้กังวลกับลูกค้าที่มีการถูกปฎิเสธสินเชื่อแล้ว สามารถบริหารจัดการได้ เพราะลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของการได้วงเงินน้อยดังนั้นจึงมีการยืดเวลาช่วยเหลือลูกค้า และกลับมาเป็น Backlog ของบริษัท โดยปัจจุบันบริษัทมี Backlog ที่สูงสุดในวงการอสังหาริมทรัยพ์ กว่า 45,000 ล้านบาท ช่วง 2-3 ปี
ในส่วนของการผลักดันยอดขายโครงการ ปัจจุบัน บมจ.บริทาเนีย หรือ BRI บริษัทลูก มีโครงการรอขายกว่า 45 โครงการ และซึ่งสามารถรองรับการขายได้ต่อเนื่องอีกประมาณ 3–4 ปี จึงยังไม่มีความจำเป็นในการลงทุนพัฒนาโครงการใหม่เพิ่มเติมในระยะสั้น ส่วนแผนเปิดโครงการใหม่ปีนี้ ครึ่งปีแรกบริษัทเปิดโครงการปีนี้บริษัทวางแผนเปิดโครงการกว่า 20,000 ล้านบาท ปัจจุบันมีการเปิดแล้วกว่า 5 โครงการ มูลค่า 8,000 ล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียม 2 โครงการและบ้านจัดสรร 3 โครงการ ในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทวางแผนมุ่งเน้นการเปิดโครงการใหม่ในพื้นที่ที่มีศักยภาพสูง ได้แก่ กรุงเทพมหานคร และจังหวัดภูเก็ต ซึ่งยังคงมีดีมานด์ที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะจากกลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงบน และกลุ่มลูกค้าต่างชาติ
ขณะที่การเข้าซื้อโครงการอสังหาริมทรัพย์จากลูกค้าต่างชาติโดยรวมยังอยู่ในระดับสูง แต่โครงสร้างพอร์ตลูกค้ามีการกระจายตัวมากขึ้น จากเดิมที่กลุ่มลูกค้าหลักเป็นชาวจีนในสัดส่วนสูงถึง 40–50% ปัจจุบันลดลงเหลือประมาณ 28%อย่างไรก็ตาม มีการเพิ่มขึ้นของลูกค้าจากหลากหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นยุโรป รัสเซีย ไต้หวัน และเมียนมา ซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถกระจายความเสี่ยงและสร้างสมดุลในพอร์ตลูกค้าได้ดีขึ้น
*หวังรัฐช่วยกระตุ้น
มาตรการที่ภาคเอกชนอยากเห็นจากภาครัฐเพิ่มเติม คือการผลักดันให้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง เพื่อช่วยลดภาระต้นทุนทางการเงินของประชาชน พร้อมทั้งสนับสนุนการปรับโครงสร้างหนี้ในภาพรวม โดยเฉพาะการรวมหนี้ข้ามธนาคาร ซึ่งถือเป็นแนวทางสำคัญที่จะช่วยบรรเทาภาระหนี้และฟื้นฟูสภาพคล่องของลูกหนี้รายย่อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบัน ภาครัฐได้เริ่มดำเนินการรวมหนี้ในกลุ่มธนาคารของรัฐแล้ว ขณะเดียวกัน ธนาคารพาณิชย์บางแห่ง เช่น TTB และ TISCO ก็เริ่มขยับในทิศทางเดียวกัน หากสามารถขยายความร่วมมือให้ครอบคลุมธนาคารพาณิชย์ในวงกว้างมากขึ้น จะช่วยให้ประชาชนสามารถรวมภาระหนี้ไว้ที่เดียว ลดภาระผ่อนชำระรายเดือน และเสริมสภาพคล่องในระดับครัวเรือนได้อย่างมีนัยสำคัญ
ในส่วนของธุรกิจอื่น ๆ บริษัทมีการขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ทั้งในกลุ่มคลังสินค้าและโรงแรม โดยปัจจุบันบริษัทมีคลังสินค้ากว่า 9 แห่ง รวมพื้นที่กว่า 400,000 ตารางเมตร และมีแผนขยายเพิ่มเติมให้ครบ 1 ล้านตารางเมตรในระยะถัดไป หลังจากนั้น บริษัทมีแผนนำทรัพย์สินบางส่วนทยอยขายเข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้จากค่าเช่าอย่างต่อเนื่อง และมีโอกาสรับรู้รายได้ในลักษณะ Recurring Income ในทุกไตรมาส ขณะเดียวกัน ธุรกิจโรงแรมก็มีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีโรงแรมเปิดให้บริการแล้วกว่า 10 แห่ง และอยู่ระหว่างการพัฒนาเพิ่มเติมอีกประมาณ 3–4 แห่ง ซึ่งมีแนวโน้มที่จะนำเข้ากองรีทในอนาคตเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าการขยายพอร์ตธุรกิจในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าและบริการจะช่วยเสริมความมั่นคงของกระแสรายได้ในระยะยาว และเป็นฐานรายได้ประจำ (Recurring Income) ที่สำคัญเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
รายงานโดย : ณัฏฐ์ชญา ปุริมปรัชญ์ภัทร บรรณาธิการข่าว Hoonvision