ธอส.ปล่อยสินเชื่อครึ่งปี 1 แสนล้านบาท วางเป้าปีนี้ 2.41 แสนล้าน
นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม - มิถุนายน 2568) นั้น ธอส. สามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ทั้งสิ้น 107,227 ล้านบาท คิดเป็นจำนวนลูกค้า 95,382 บัญชี เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 27.28% และช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ธอส. ยังเดินหน้าปล่อยสินเชื่อใหม่อีกไม่ต่ำกว่า 150,000 ล้านบาท ตามนโยบายรัฐบาล ซึ่งจะทำให้ทั้งปี ธอส. ปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 241,780 ล้านบาท
ทั้งนี้ จากผลการดำเนินงานช่วยครึ่งปีแรก ส่งผลให้เมื่อเทียบกับ ณ สิ้นปี 2567 มียอดสินเชื่อคงค้างรวมทั้งสิ้น 1,834,554 ล้านบาท เพิ่มขึ้นขึ้น 1.91% สินทรัพย์รวม 1,924,955 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.15% เงินฝากรวม 1,670,086 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.43% สะท้อนศักยภาพการขับเคลื่อนตลาดที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพให้กับคนไทย และมีส่วนในการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ให้ขยายตัวได้ดีขึ้น
โดยเป็นผลมาจากการจัดทำมาตรการตามนโยบาย นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าทุกกลุ่ม ทั้งผู้มีรายได้น้อยและปานกลาง ลูกค้ากลุ่มเปราะบาง เพื่อให้ผู้ที่ขาดโอกาสได้เข้าถึงสินเชื่อมากขึ้น รวมถึงกลุ่มผู้ที่มีกำลังซื้อที่อยู่อาศัยระดับราคามากกว่า 7 ล้านบาทโดยธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อกับกลุ่มดังกล่าวได้กว่า 85,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ ธอส. มีส่วนแบ่งทางการตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 42% ของการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยทั้งระบบ
นอกจากนี้ ธอส. ยังให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้ ด้วยการจัดทำมาตรการช่วยเหลือลูกทบทางเศรษฐกิจ (DC3) สำหรับลูกค้ากลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ (SM) ให้ได้รับความช่วยเหลือในอัตราดอกเบี้ยพิเศษและลดเงินงวดนาน 1 ปี เพื่อให้ลูกค้ากลับมามีความสามารถในการผ่อนชำระเงินงวดได้ตามปกติ เพื่อรักษาบ้านของตนเองไว้ได้ต่อไป ปัจจุบันมีลูกค้าเข้าร่วมมาตรการแล้วกว่า 7,652 บัญชี คิดเป็นเงินต้นคงเหลือ 9,766.71 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน ธอส. ยังเปิดให้ลูกค้าขอขยายเวลาการผ่อนชำระเงินงวดนาถึงอายุ 80-85 ปี เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพให้กับลูกค้า ส่วนโครงการคุณสู้ เราช่วย ที่ให้ความช่วยเหลือลูกค้าลดเงินงวดนาน 3 ปี นั้น มีลูกค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 90,937 บัญชี คิดเป็นหนี้ค้างจำนวน 105,465.06 ล้านบาท