KTC กำไร Q2/68 อยู่ที่ 1,894.79 ลบ. โต 3.76% จากช่วงเดียวกันปีก่อน
#KTC #ทันหุ้น-บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด(มหาชน) หรือ KTC แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯว่า ไตรมาส 2/68 มีกำไร 1,894.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.76% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไร 1,826.19 ล้านบาท โดยแนวทางการเติบโตของกำไรมาจากความสามารถในการรักษาฐานรายได้ ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายรวมอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้นทุนความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Cost) ที่ปรับตัวลดลง อันเป็นผลสำเร็จจากการบริหารคุณภาพสินทรัพย์เชิงรุกและต่อเนื่อง
กลุ่มบริษัทยังสามารถรักษาฐานรายได้รวมได้ดีที่ 6,812 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 0.5% (YoY) จากรายได้ดอกเบี้ยและรายได้ค่าธรรมเนียมตามการขยายตัวของพอร์ตและปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตร
ขณะที่ค่าใช้จ่ายรวมเท่ากับ 4,340 ล้านบาท ลดลง 3.5% (YoY) จากผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นลดลง เป็นผลมาจากการที่กลุ่มบริษัทบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์ได้ดี รวมถึงต้นทุนทางการเงินที่ลดลง อย่างไรก็ตามค่าใช้จ่ายในการบริหารเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการบริหารต่อรายได้รวมเพิ่มขึ้นจาก 34.8% ในไตรมาส 2/67 เป็น 35.0% ในไตรมาสนี้
ณ สิ้นไตรมาส 2/68 กลุ่มบริษัทมีพอร์ตสินเชื่อรวม 107,104 ล้านบาท ขยายตัวเล็กน้อยที่ 1.2% (YoY) แบ่งเป็น พอร์ตบัตรเครดิตเพิ่มขึ้น 1.0% (YoY) โดยมีอัตราการขยายตัวของปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรในครึ่งแรกปี2568 ที่ 4.4% (YoY) และสำหรับ 5 เดือนปี 2568 มีอัตราการขยายตัวที่ 5.0% (YoY) สูงกว่าอุตสาหกรรมซึ่งขยายตัวที่ 1.2% (YoY) และพอร์ตสินเชื่อบุคคลรวมเติบโตที่ 4.0% (YoY)
ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย กลุ่มบริษัทยังคงจัดการคุณภาพสินทรัพย์ได้ดี และรักษาระดับเงินสำรองที่แข็งแกร่งและเพียงพอ ซึ่งสะท้อนได้จาก NPL Ratio ของกลุ่มบริษัท อยู่ที่ 1.83% และ NPL Coverage Ratio ที่ 419.9% นอกจากนี้ Credit Cost สำหรับไตรมาส 2 /68 ลดลงเป็น 5.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 6.3%
ด้วยปัจจัยพื้นฐานและศักยภาพการเติบโตของบริษัท ภายหลังจากรายการซื้อขายหลักทรัพย์รายใหญ่ในช่วงปลายเดือนมิถุนายน2568 ที่ผ่านมา พบว่า โครงสร้างผู้ถือหุ้นมีการกระจายตัวมากขึ้นโดยมีสัดส่วนการถือครองโดยนักลงทุนสถาบันทั้งในประเทศและต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ การเปลี่ยนแปลงเชิงบวกนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นจากกลุ่มนักลงทุนที่มีต่อบริษัท
กลุ่มบริษัทยังคงมุ่งมั่นขยายพอร์ตสินเชื่อโดยให้ความสำคัญกับการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ภายใต้กรอบการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่จะช่วยให้กลุ่มบริษัทสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว