โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

“ดาวโจนส์” พุ่งกว่า 300 จุด คลายกังวลเทรดวอร์-เก็งเฟดหั่นดอกเบี้ย 3 ครั้งปีนี้

ข่าวหุ้นธุรกิจ

อัพเดต 27 มิ.ย. เวลา 15.04 น. • เผยแพร่ 27 มิ.ย. เวลา 15.04 น. • ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 200 จุด ขณะที่นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าและความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ นอกจากนี้ ตลาดได้แรงหนุนจากคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

โดย ณ เวลา 21:50 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 44,086.00 จุด บวก 367.00 จุด หรือ 0.84% นักลงทุนคลายความวิตกเกี่ยวกับสถานการณ์ในตะวันออกกลาง ขณะที่อิสราเอลและอิหร่านยังคงปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง

ทำเนียบขาวเปิดเผยวานนี้ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจขยายเวลาการระงับใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ที่กำหนดไว้ 90 วัน ซึ่งคำสั่งระงับใช้มาตรการดังกล่าวจะหมดอายุในวันที่ 9 ก.ค.

นางแคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว กล่าวว่า กำหนดเส้นตายดังกล่าวไม่เร่งรีบถึงขั้นวิกฤต

นอกจากนี้ นักลงทุนขานรับคาดการณ์การบรรลุข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐและจีน

นายโฮเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐ กล่าวว่า สหรัฐและจีนได้ข้อสรุปเกี่ยวกับกรอบข้อตกลงการค้าแล้ว และคาดว่าสหรัฐจะบรรลุข้อตกลงกับคู่ค้ารายใหญ่จำนวน 10 ประเทศในเร็ว ๆ นี้

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าววานนี้ว่า "เราเพิ่งเซ็นข้อตกลงกับจีนเมื่อวานนี้" ซึ่งต่อมาเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวได้ชี้แจงว่า จีนได้เห็นพ้องต่อกรอบความเข้าใจในการดำเนินการตามข้อตกลงเจนีวา

ด้านกระทรวงพาณิชย์ของจีนออกแถลงการณ์ในวันนี้ระบุว่า จันและสหรัฐได้ยืนยันกรอบข้อตกลงทางการค้า ซึ่งจะทำให้จีนส่งออกแร่หายากไปยังสหรัฐ ขณะที่สหรัฐจะผ่อนคลายข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีต่อจีน

นักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ โดยคาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือนกันยายน ตุลาคม และธันวาคม จากเดิมที่คาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้ง หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่ซบเซา

ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 79.3% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมเดือนก.ค.

นอกจากนี้ FedWatch Tool บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% ในการประชุมเดือนก.ย., ปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.75-4.00% ในการประชุมเดือนต.ค. และปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.50-3.75% ในการประชุมเดือนธ.ค.

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 3 สำหรับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 1/2568 โดยระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐหดตัว 0.5% ในไตรมาสดังกล่าว ย่ำแย่กว่าตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 ที่ระบุว่าหดตัว 0.2% ขณะที่ตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 ระบุว่าหดตัว 0.3%

เศรษฐกิจสหรัฐหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปีในไตรมาส 1/2568 โดยได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของการใช้จ่ายของผู้บริโภค รวมทั้งตัวเลขนำเข้าที่พุ่งขึ้น 37.9% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2563 จากการที่บริษัทต่าง ๆ พากันเร่งนำเข้าสินค้าก่อนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะประกาศมาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรครั้งใหญ่ในเดือนเม.ย.

ทั้งนี้ ในปี 2567 เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 1.4% ในไตรมาส 1, 3.0% ในไตรมาส 2, 3.1% ในไตรมาส 3 และ 2.4% ในไตรมาส 4

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลทั่วไป (Headline PCE) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 2.3% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายปี สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 2.2% ในเดือนเม.ย.

เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PCE ทั่วไป ปรับตัวขึ้น 0.1% สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 0.1% ในเดือนเม.ย.

ส่วนดัชนี PCE พื้นฐาน (Core PCE) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ ปรับตัวขึ้น 2.7% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายปี สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 2.6% จากระดับ 2.6% ในเดือนเม.ย.

เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PCE พื้นฐาน ปรับตัวขึ้น 0.2% สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 0.1% จากระดับ 0.1% ในเดือนเม.ย.

ทั้งนี้ ดัชนี PCE ถือเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...