‘สนธิรัตน์’ ชี้ไทยต้องเร่งปฏิรูประบบรัฐ หลังอันดับแข่งขันเศรษฐกิจร่วงต่อเนื่อง
เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. 68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า "นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์" อดีตรมว.พลังงาน ในฐานะประธานกรรมการด้านการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ พรรคพลังประชารัฐ ได้ออกมาแสดงความกังวลลงในแฟนเพจ"สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์" หลังไทยร่วง 5 อันดับในรายงาน IMD ชี้ประสิทธิภาพภาครัฐลดลงมากที่สุด สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้าง พร้อมเสนอให้รัฐเร่งปฏิรูป ลดความซ้ำซ้อน บูรณาการนโยบายเศรษฐกิจ และให้ความสำคัญกับโจทย์เศรษฐกิจก่อนประเด็นการเมือง เพื่อไม่ให้ประเทศถดถอยท่ามกลางการแข่งขันระดับโลกอีกด้วย
โดยนายสนธิรัตน์ ระบุข้อความว่า"ความสามารถในการแข่งขันประเทศตกต่ำ โจทย์เศรษฐกิจที่ต้องเร่งแก้ ก่อนโจทย์ทางการเมือง ทุกท่านครับ วันนี้ผมไม่อาจนิ่งเฉยต่อรายงานล่าสุดจาก IMD ที่จัดอันดับความสามารถแข่งขันของประเทศไทย ซึ่งปีนี้เราร่วงลงถึง 5 อันดับ อยู่ที่ 30 จากทั้งหมด 69 เขตเศรษฐกิจ ผมคิดว่าเป็นโจทย์ใหญ่สำหรับการเมืองไทยในวันนี้ที่ต้องคิดให้หนัก สิ่งที่น่ากังวลไม่ใช่แค่อันดับที่ตก แต่เป็นภาพรวมที่ถดถอยเกือบทุกด้าน โดยเฉพาะประสิทธิภาพภาครัฐ ที่ลดลงถึง 8 อันดับ มากที่สุดในบรรดาทุกปัจจัย สะท้อนว่าระบบราชการของเรา ยังไม่สามารถปรับตัวได้ทันกับโลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว"
อีกทั้ง "การบริหารแบบแยกส่วน (silo) ยังคงเป็นอุปสรรคใหญ่ กฎหมายล้าสมัย ระบบราชการซับซ้อน ไม่เอื้อต่อการพัฒนาภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs ที่ยังอ่อนแอและขาดการสนับสนุนอย่างแท้จริง นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาเชิงเทคนิค แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างประเทศไทยกำลังอ่อนแอ ต่อความผันผวนระดับโลก เพราะระบบที่ไม่ยืดหยุ่นและขาด “หน่วยงานกลาง” ที่จะบูรณาการแผนเศรษฐกิจให้เดินไปในทิศทางเดียวกัน การขาด New S-Curve และระบบติดตามนโยบายอย่างจริงจัง ส่งผลให้ไทยไม่มีทิศทางชัดเจนในการพัฒนาเศรษฐกิจยุคใหม่ เรายังไม่พร้อมกับการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว เทคโนโลยีสมัยใหม่ หรือ AI อย่างแท้จริง"
"แม้เรายังมีจุดแข็งในเรื่องการค้าระหว่างประเทศ และการจ้างงาน แต่หากรากฐานอ่อนแอ เราก็ไม่สามารถต่อยอดเพื่อแข่งขันในอนาคตได้ เรากำลังถอยหลัง ขณะที่โลกกำลังเร่งเดินหน้า หากภาครัฐไม่เริ่มต้นปฏิรูประบบของตัวเอง เราจะไม่มีวันสร้าง “ประเทศที่แข่งขันได้” ในโลกที่กำลังเข้าสู่ยุคชาตินิยมใหม่ ที่แต่ละประเทศต่างแย่งชิงทรัพยากร เทคโนโลยี และห่วงโซ่อุปทาน ปี 2025 สะท้อนภาพโลกที่เปลี่ยนผ่านไปสู่การตั้งกำแพงทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการกีดกันการค้า การย้ายฐานการผลิต หรือการสร้างพันธมิตรใหม่ ไทยต้องไม่ยืนรออยู่เฉยๆ เราต้องเป็นฝ่ายวิ่งเข้าไปปรับตัว ก่อนจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ถึงเวลาแล้วที่ภาครัฐต้องเลิกผัดวันประกันพรุ่ง ปฏิรูปการบริหารให้ทันสมัย ลดความซ้ำซ้อน กระจายอำนาจให้หน่วยงานทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างระบบติดตามผลนโยบายที่จริงจัง ไม่ใช่แค่บนกระดาษ"
อย่างไรก็ตาม"ขณะเดียวกันภาคเอกชนต้องร่วมมือ ไม่ใช่เป็นเพียง “ผู้ถูกผลักภาระ” จากระบบที่ไม่มีประสิทธิภาพ แต่ต้องเป็นพลังเสริมรัฐในการปรับตัว เพิ่มขีดความสามารถ และยกระดับมาตรฐานให้แข่งขันได้จริง ผมคิดว่าวันนี้รัฐบาลต้องใส่ใจเรื่องนี้ให้มาก เพราะประสิทธิภาพภาครัฐอยู่ในอำนาจการบริหารจัดการของรัฐบาล ถ้าแก้ช้าประเทศเราจะถอยหลังรุนแรง วางโจทย์การเมืองไว้สักพัก แล้วหันมาแก้โจทย์เศรษฐกิจอย่างจริงจังสักที ประเทศไทยยังมีศักยภาพและโอกาส แต่เราต้องกล้าก้าวข้ามวิธีคิดแบบเดิม ๆ และลงมือปฏิรูป ในเวลาที่"รอไม่ได้อีกต่อไป"
ขอบคุณข้อมูล : สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์