โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

การเมือง

ตลาดสด ศาลาไม้ รอยยิ้มในตรอกแคบ: รากฐานที่อยู่ยง แม้โรงละครการเมืองจะเปลี่ยนฉากไม่หยุด

ไทยโพสต์

อัพเดต 21 สิงหาคม 2568 เวลา 21.16 น. • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ท่ามกลางคลื่นข่าวการเมืองที่ถาโถม ทั้งคดีทักษิณ คลิปเสียงแพทองธาร-ฮุนเซน ทุกอย่างถูกทำให้ดูยิ่งใหญ่จนบดบังสายตา แต่แท้จริงแล้ว ตลาดสด ศาลาไม้ และรอยยิ้มในตรอกแคบ คือรากฐานที่อยู่ยงประคองแผ่นดิน เพราะแม้โรงละครการเมืองจะสับเปลี่ยนฉากไม่รู้จบ แต่ชีวิตเล็กๆของผู้คนก็ยังถักทอเส้นด้ายบางๆ ให้สังคมนี้ไม่ขาดสะบั้น

บนหน้าหนังสือพิมพ์ทุกเช้า ข่าวใหญ่ไม่เคยเว้นว่าง การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง, คดีดังระดับชาติ หรือ ความตึงเครียดจากชายแดนไทย-กัมพูชา หัวข้อเหล่านี้อาจดูไกลตัว แต่ก็เหมือนเงาที่ทอดลงมาปกคลุมชีวิตคนธรรมดาทุกคน

ในตรอกเล็กของกรุงเทพฯ หรือ ริมตลาดอีสาน ผู้คนยังคงต้องตื่นเช้าเพื่อหาข้าวให้ลูกกินก่อนส่งไปโรงเรียน แม้จะไม่ได้มีส่วนร่วมในโต๊ะเจรจาระดับสูง หรือบนเวทีถกเถียงในสภา แต่ผลลัพธ์จากเหตุการณ์เหล่านั้นกลับสะท้อนถึงชีวิตพวกเขาเสมอ ทั้งราคาข้าวของที่พุ่งขึ้นเพราะเศรษฐกิจสั่นไหว หรือความไม่แน่นอนที่ทำให้ค่าแรงหยุดนิ่ง

นั่นเองที่ทำให้เรื่องราวของคนเล็กๆ มีความหมายต่อการเมืองไม่แพ้การตัดสินใจระดับชาติใดๆ เพราะเมื่อสถานการณ์ใหญ่ส่งแรงสะเทือนถึงครัวเล็กๆ ทุกครัว การเมืองจึงไม่ใช่เพียงสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องประชุม แต่คือแรงกดดันที่ก่อรูปการตัดสินใจในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่การซื้อของรายวัน ไปจนถึงความฝันระยะยาวของครอบครัว

ในห้วงเวลาที่ประเทศยังคงเผชิญ วิกฤตการเมือง และ ข้อพิพาทชายแดน ความมั่นใจของสังคมและเศรษฐกิจก็พลอยสั่นคลอนตามไปด้วย โรงงานบางแห่งชะลอการลงทุน ร้านค้าหลายร้านลังเลที่จะขยายกิจการ เพราะไม่รู้ว่าสถานการณ์จะพัฒนาไปในทิศทางใด

แต่ถึงอย่างนั้น ชีวิตยังต้องเดินหน้า คนงาน ยังคงต่อคิวรถสองแถวตอนเช้าแม่ค้า ก็ยังต้องตั้งแผงขายของ แม้จะไม่รู้ว่ากำไรจะหดลงอีกเท่าไร ความไม่แน่นอนที่ลอยอยู่ในอากาศทำให้ทุกคนต้องหาวิธีพยุงตัวเอง เช่น เก็บออม ซื้อของน้อยลง หรือหางานเสริมเพิ่มรายได้

ในหมู่บ้านชนบทศาลาไม้ ยังคงเป็นที่รวมตัวของผู้เฒ่าผู้แก่ พูดคุยหาทางรับมือว่าจะทำไร่ต่อดีไหม จะย้ายแรงงานเข้าเมืองหรือเปล่า มันคือ “โต๊ะเจรจา” ของคนธรรมดา ที่สะท้อนว่าพวกเขาก็หาคำตอบของชีวิตได้ โดยไม่ต้องรอข่าวจากเวทีใหญ่

ในหลายครอบครัว ความไม่แน่นอนทางการเมืองซึมลึกถึงโต๊ะอาหาร พ่อแม่บางบ้านต้องคิดหนักว่าจะลดค่าใช้จ่ายตรงไหนลงก่อน ลูกบางคนเลื่อนแผนเรียนต่อออกไป เพราะไม่มั่นใจว่าเศรษฐกิจจะเอื้ออำนวยหรือไม่ แม้เรื่องเหล่านี้จะไม่ปรากฏบนหน้าสื่อ แต่กลับเป็นภาระเงียบๆ ที่ถ่วงหัวใจผู้คนทุกวัน

อีกด้านหนึ่ง ชุมชนเองก็กลายเป็นที่พึ่งพิงสำคัญการรวมกลุ่มขายอาหาร การช่วยกันดูแลเด็กหรือคนแก่ คือวิธีที่คนเล็กคนน้อยปรับตัวรับแรงกดดันจากภายนอกโดยไม่ต้องรอการตัดสินจากใคร คนในชุมชนพูดกันเสมอว่า “ถ้ารัฐบาลไม่ช่วย เราก็ช่วยกันเองก่อน” ประโยคสั้นๆ นี้กลายเป็นพลังใจมากกว่ามาตรการทางเศรษฐกิจใดๆ

และแม้สถานการณ์จะตึงเครียดแค่ไหนรอยยิ้มในตรอกแคบ ก็ยังเป็นเครื่องเตือนใจว่า ความอบอุ่นเล็กๆ จากเพื่อนบ้าน หรือจากแม่ค้าแถมของให้ ยังมีพลังมากกว่าคำสัญญาใหญ่ๆ จากนักการเมืองเสียอีก

ท่ามกลางพาดหัวข่าวที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและความกังวล ชีวิตคนเล็กๆ กลับยังหาหนทางสอดแทรก “รอยยิ้ม” อยู่เสมอ เราอาจเห็นแม่ค้าขายอาหารตามสั่งที่ยังแถมไข่ดาวให้เด็กนักเรียน แม้รู้ว่ากำไรบางวันน้อยจนแทบไม่พอจ่ายค่าแก๊ส หรือเห็นวินมอเตอร์ไซค์ที่ช่วยส่งคุณยายข้ามถนนฟรีโดยไม่คิดค่าจ้าง สิ่งเล็กๆ เหล่านี้สะท้อนว่า ความหวังไม่เคยขาดหาย จากชีวิตประจำวัน

แม้เศรษฐกิจผันผวน ราคาสินค้าพุ่งสูง แต่คนไทยยังมีวิธีรับมือที่แฝงด้วยอารมณ์ขัน การบ่นว่า “ผักแพงกว่าหมู” อาจเริ่มต้นด้วยความเครียด แต่จบลงด้วยเสียงหัวเราะที่ตลาด เพราะต่างคนต่างรู้ว่าการหัวเราะคือ กำแพงสุดท้าย ในการต้านความกดดันจากข่าวใหญ่โต

สิ่งเหล่านี้บอกเราว่า การเมืองอาจกำหนดทิศทางประเทศ แต่สิ่งที่หล่อเลี้ยงสังคมคือ ศักยภาพของผู้คนในการสร้างแรงบันดาลใจต่อกัน และตรงนี้เองที่ทำให้ความหวังยังดำรงอยู่ แม้เงาของความไม่แน่นอนยังทอดทับทั่วแผ่นดิน

บ่อยครั้งที่เรามองว่า “การเมืองใหญ่” เท่านั้นที่กำหนดอนาคตชาติ แต่หากมองลึกลงไปจริงๆ สิ่งที่ค้ำยันไม่ให้สังคมทรุดหนักเกินไปกลับเป็น พลังเล็กๆจากผู้คนธรรมดา ที่พยายามประคองชีวิตของตนเองและคนรอบข้างให้อยู่รอด

พลังเหล่านี้ทำหน้าที่เหมือน เส้นด้ายเล็กๆ ที่ถักทอเป็นตาข่ายรองรับสังคม ไม่ให้ตกลงไปในหุบเหวของความสิ้นหวัง ไม่ว่าจะเป็นการรวมกลุ่มกันทำอาหารแจกในยามเศรษฐกิจฝืดเคือง การช่วยกันเฝ้าระวังพื้นที่ชายแดนในชุมชนเล็กๆ หรือแม้แต่การระดมทุนเล็กๆ เพื่อช่วยคนป่วยในหมู่บ้าน ทั้งหมดนี้คือ การเมืองของชีวิตประจำวัน

ความหวังที่ซ่อนอยู่ในวิถีชีวิตเล็กๆ ไม่ได้เป็นเพียงการประคับประคองเฉพาะหน้า แต่มันคือพลังที่ท้าทาย “การเมืองใหญ่” ด้วยตัวเอง เป็นการบอกว่า ต่อให้ข่าววิกฤตการเมืองหรือข่าวชายแดนจะกดทับแค่ไหน คนธรรมดาก็ยังเดินต่ออย่างมีศักดิ์ศรี และนี่ต่างหากคือ รากฐานแท้จริงที่ทำให้แผ่นดินไม่ล่มสลาย

หากมองให้ดี สิ่งที่ผู้คนตัวเล็กๆ ทำอยู่ทุกวันอาจเป็น บทเรียนเงียบๆ แก่นักการเมือง เพราะในขณะที่ผู้นำในสภาหรือทำเนียบถกเถียง แย่งชิง หรือหาช่องทางอยู่รอดทางอำนาจ ประชาชนกำลังหาช่องทางอยู่รอดทางชีวิตจริง

การเลือกประหยัด การแบ่งปัน หรือการประคองกิจการเล็กๆ ให้ไปต่อได้ ล้วนเป็นการตอกย้ำว่า การเมืองที่แท้จริงไม่ใช่การแย่งเก้าอี้ แต่คือการทำให้ คนอยู่รอดได้โดยไม่ต้องดิ้นรนเกินแรง

ในความหมายนี้ การกระทำเล็กๆ ของประชาชนเปรียบเหมือน กระจกสะท้อนการเมืองใหญ่ ว่าความชอบธรรมไม่ได้มาจากคำปราศรัยหรือเสียงโหวตในสภา แต่มาจาก ความสามารถที่จะทำให้ชีวิตผู้คนเบาลง ไม่ใช่หนักขึ้น และเมื่อใดที่ประชาชนยังต้องเหนื่อยเพิ่มจากความผิดพลาดของผู้นำ เมื่อนั้น ความชอบธรรมก็สึกกร่อนลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ดังนั้น แม้คนธรรมดาจะไม่ได้นั่งอยู่ในทำเนียบรัฐบาล ไม่ได้มีเก้าอี้ในสภาฯ แต่ทุกการใช้ชีวิตของพวกเขากำลังส่งสารไปถึงคนบนเวทีว่า“นี่คือสิ่งที่เราต้องการจริงๆ”

เมื่อมองย้อนกลับไป ทั้งคดีร้อนระดับชาติ ข่าวชายแดน และการเปลี่ยนตัวผู้นำ ก็ไม่ต่างจาก ละครฉากใหญ่ ที่เล่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า คลื่นข่าวการเมืองถาโถมเข้ามาไม่เคยหยุด แต่ในท่ามกลางคลื่นนั้น ชีวิตของคนธรรมดากลับยังเดินต่อไปได้ — ตลาดสดยังคึกคัก ศาลาไม้ยังเป็นที่รวมผู้คน และรอยยิ้มในตรอกแคบยังไม่เคยหายไป

นี่แหละคือรากฐานที่อยู่ยง ของสังคมไทย ไม่ใช่เกมอำนาจบนเวที ไม่ใช่คำปราศรัยที่ถูกเขียนโดยทีมงาน แต่คือ ความสามารถของประชาชนในการประคองชีวิตจริง

ในวันที่นักการเมืองมัวแต่ดีเบตเรื่อง “ใครผิด-ใครถูก” ประชาชนกำลังดีเบตกับ ราคาน้ำมันและค่าไฟที่ขึ้นไม่หยุด และที่สำคัญ ประชาชนชนะด้วยการ “อยู่รอด” ในทุกวัน

ความเข้มแข็งของชาติไม่เคยวัดจากว่าใครนั่งเก้าอี้นายกฯ แต่คือการที่ร้านข้าวแกงยังตักแกงขายตอนเช้า รถเมล์ยังวิ่งรับส่งผู้โดยสาร และผู้คนยังมีแรงหัวเราะกับมุกเล็ก ๆ ระหว่างซื้อขาย นี่ต่างหากคือสิ่งที่ทำให้ โรงละครการเมืองแม้เปลี่ยนฉากไม่หยุด แต่แผ่นดินยังไม่เคยล่ม

และบทเรียนสุดท้ายที่ควรถูกส่งขึ้นไปถึงนักการเมืองคือ อย่าใช้การเมืองเป็นกำแพงขวางชีวิต แต่จงทำให้มันเป็นสะพานที่พาผู้คนเดินไปง่ายขึ้น เพราะตราบใดที่ตลาดสด ศาลาไม้ และรอยยิ้มในตรอกแคบยังอยู่รอด ประเทศนี้ก็จะยังยืนหยัดต่อไป แม้โรงละครการเมืองจะเปลี่ยนตัวละครไปกี่ครั้งก็ตาม.

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก ไทยโพสต์

PFG ส่งมอบของขวัญอาหารสุนัขสูตรพรีเมียม ให้กับ ‘สุนัขทหาร’ หน่วยนาวิกโยธิน กองทัพเรือ

11 นาทีที่แล้ว

บุกตรวจสอบธุรกิจค้าเหล็ก อ.บางเสาธง หวั่นเป็นนอมินี-ทำผิดกฎหมาย

19 นาทีที่แล้ว

คณะรัฐบาลทหารเมียนมาเปิดเผยรายละเอียดการเลือกตั้งใหม่

22 นาทีที่แล้ว

ลุยสอบต่อร้านเจ๊ไฝ! ตรวจต้นทุนเพิ่มขายแพงเกินจริงหรือไม่? หากพบผิดมีโทษคุกสูงสุด 7 ปี ปรับไม่เกิน 1.4 แสน

24 นาทีที่แล้ว

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความการเมืองอื่น ๆ

ข่าวและบทความยอดนิยม