ทำไม หุ้นการบินไทย พุ่งไม่หยุด นักลงทุนเห็นอะไรที่ขอบฟ้าไกล
หุ้นการบินไทย พุ่งเป็นจรวด 6 วันติด ราคาปรับขึ้นแล้ว 370 % มูลค่ากิจการ 4.4 แสนล้านบาท ติดท็อป 10 บริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ที่สุดของตลาดหุ้นไทย อะไรเป็นสาเหตุทำให้หุ้นสายการบินแห่งชาติของไทย กลับมาเทคออฟได้อย่างสวยงาม
หุ้น บมจ.การบินไทย (THAI) พุ่งเป็นจรวด 6 วันติด หลังกลับเข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ( SET) อีกครั้ง เมื่อวันที่ 4 ส.ค.2568
ล่าสุดวันที่ 13 ส.ค. 2568 หุ้นการบินไทย ปรับตัวขึ้นสูงสุด 15.90 บาท ก่อนอ่อนตัวลงมาเทรดที่ราคาแถว 15.60-15.70 บาท ณ เวลาประมาณ 14.38 น. ราคาอยู่ที่ 15.60 บาท (+6.12 %) มูลค่าซื้อขายหนาแน่น 3,320 ล้านบาท
หุ้นการบินไทย ติดลมบน ราคาเพิ่มขึ้น 12.28 บาท (+370 %) จากราคาปิดสุดท้าย 3.32 บาท ณ วันที่ 25 ก.พ. 2564 ส่งผลให้มูลค่าหุ้น หรือมาร์เก็ตแคปอยู่ที่ 4.4 แสนล้านบาท ผงาดติดท็อป 10 บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยที่มีขนาดใหญ่ที่สุด
ขณะที่ IAA Consensus ให้ราคาเหมาะสมหุ้น THAI ที่ 8.93-9.60 บาท
การเงินธนาคาร ได้รวบรวมความเห็นนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ที่มีต่อหุ้นการบินไทย พร้อมข้อมูลพื้นฐานที่นักลงทุนควรรู้
บล.เอเซีย พลัส มองว่าราคาหุ้นการบินไทยที่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องมีสาเหตุหลักมาจากผลประกอบการแข็งแกร่ง โดยเฉพาะกำไรปกติไตรมาส 2/68 ที่เติบโตสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในไตรมาส 2/68 มีกำไรสุทธิสูงถึง 1.2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นก้าวกระโดดจากปีก่อนที่มีกำไรเพียง 306 ล้านบาท แม้ว่ากำไรส่วนหนึ่งจะมาจากการยกเลิกสัญญาเช่าเครื่องบิน แต่หากพิจารณาเฉพาะกำไรปกติที่ไม่รวมรายการพิเศษยังอยู่ที่ 6.8 พันล้านบาท เติบโตอย่างโดดเด่นจาก 1.2 พันล้านบาทในปีก่อน
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผลประกอบการของ THAI พุ่งขึ้นมาจาก 2 เรื่องหลัก
- รายได้เติบโต แม้ว่าราคาตั๋วเฉลี่ยต่อผู้โดยสาร (Passenger Yield) จะลดลงเนื่องจากการแข่งขันที่สูงขึ้น แต่รายได้จากการดำเนินงานโดยรวมยังคงเพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบกับปีก่อน ด้วยจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นจากการขยายเส้นทางบินและเพิ่มความถี่เที่ยวบิน โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียและยุโรป ส่งผลให้อัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin factor) อยู่ที่ 77% จากเดิม 73%
- ต้นทุนลดลง โดยค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) ลดลงถึง 9% เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจาก ราคาน้ำมันเครื่องบินที่ลดลง ประกอบกับ ค่าซ่อมบำรุงอากาศยานที่ลดลง จากการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขสัญญาเช่าเครื่องบินและการแข็งค่าของเงินบาท ทำให้ Operating Profit Margin (OPM) ขยับสูงขึ้นเป็น 20% จากเดิม 11%
อีกทั้งกำไรปกติครึ่งปีแรกของปี 2568 อยู่ที่ 1.7 หมื่นล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 61% ของประมาณการกำไรทั้งปีของบล.เอเซียพลัส และ 63% ของนักวิเคราะห์ในตลาด นอกจากนี้อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (OPM) ก็สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทำให้มีความเป็นไปได้สูงที่นักวิเคราะห์จะปรับเพิ่มประมาณการกำไรทั้งปีขึ้นอีก ซึ่งจะเป็นแรงหนุนเชิงบวกต่อราคาหุ้น
ทั้งนี้บล.เอเซีย พลัส ยังคงเลือกหุ้นการบินไทยเป็นหนึ่งในหุ้นเด่นของกลุ่มท่องเที่ยว และคาดว่าราคาหุ้นจะตอบสนองเชิงบวกต่อผลประกอบการที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
บล.ทิสโก้ ระบุว่า หลังจาก THAI กลับมาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯอีกครั้งเมื่อวันที่ 4 ส.ค. 2568 ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่องจนทำให้ราคาพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมี 4 ปัจจัยบวกที่สนับสนุนการเติบโต
- การบินไทย กลับมาแข็งแกร่งหลังผ่านพ้นช่วงฟื้นฟูกิจการเป็นเวลา 4 ปี และกลับมาพร้อมกับสถานะทางการเงินที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ มีการปรับโครงสร้างหนี้ครั้งใหญ่ จากหนี้สินกว่า 4 แสนล้านบาท ลดลงเหลือเพียง 9.5 หมื่นล้านบาท ทำให้บริษัทมีรากฐานที่แข็งแกร่งและคล่องตัวมากขึ้นในการดำเนินธุรกิจ
- อุปสงค์การเดินทางที่ฟื้นตัว การบินไทย ได้รับประโยชน์จากการกลับมาของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั่วโลก โดยเฉพาะในตลาดหลักอย่างเอเชียแปซิฟิกและยุโรป ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักกว่า 95% ของการบินไทย นอกจากนี้ยังมีส่วนแบ่งการตลาดที่สูงถึง 22% ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญ
- กลยุทธ์การเติบโตที่ชัดเจน การบินไทยได้วางแผนกลยุทธ์ระยะยาวที่น่าสนใจเพื่อเพิ่มศักยภาพในการทำกำไร ทั้งการปรับปรุงเส้นทางบินให้ตรงกับจุดหมายปลายทางที่ให้ผลตอบแทนสูง การนำเครื่องบินรุ่นใหม่ที่ประหยัดน้ำมันมาใช้ในฝูงบิน และการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจกับสายการบินชั้นนำ เช่น Turkish Airlines เพื่อขยายเครือข่ายให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น
บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ระบุว่า ราคาหุ้น THAI ได้รับความสนใจอย่างมากในช่วงนี้ เนื่องจากมีการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนราคาหุ้นมาจากการที่บริษัทสามารถทำผลกำไรได้ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ โดยเฉพาะผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 ปี 2568
โดยสรุปแล้ว ปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนราคาหุ้นของการบินไทยให้พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง คือผลประกอบการที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถในการควบคุมค่าใช้จ่ายที่ลดลงได้มากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ทำให้บริษัทสามารถสร้างกำไรได้อย่างน่าพอใจ แม้จะมีปัจจัยกดดันจากรายได้ที่เติบโตในระดับที่ช้าลงก็ตาม
ลุ้นเข้าคำนวณ SET50 สิ้นปี 2568
บล.พาย คาดว่า THAI จะได้เข้าคำนวณในดัชนี SET50 ในช่วงสิ้นปี 2568 จากข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบัน พบว่าหุ้น THAI เป็นหนึ่งในหุ้นที่มีการคาดการณ์จากนักวิเคราะห์และสื่อต่างๆ ว่ามีโอกาสสูงที่จะถูกนำเข้าคำนวณในดัชนี SET50 ในรอบการคัดเลือกสิ้นปี 2568 โดยมีปัจจัยสนับสนุนดังนี้
- มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) ที่สูงอย่างมีนัยสำคัญ หลังกลับมาเทรดอีกครั้งในรอบ 4 ปี ซึ่งเป็นหนึ่งในเกณฑ์สำคัญในการคัดเลือกหุ้นเข้า SET50
- มีสภาพคล่องในการซื้อขายที่หนาแน่นอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีโอกาสผ่านเกณฑ์สภาพคล่องตามที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำหนดเกณฑ์การคัดเลือกหุ้นเข้า SET50
อย่างไรก็ตาม บล.พาย เตือนว่านักลงทุนควรพิจารณาความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นด้วย เช่น ราคาน้ำมันที่ผันผวน, ความล่าช้าในการปรับปรุงฝูงบิน, การเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายบุคลากร และการแข่งขันที่รุนแรงจากสายการบินต้นทุนต่ำ (LCC) ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานในอนาคตได้
ข้อมูลพื้นฐานหุ้น THAI
จำนวนหุ้นจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ 28,303.29 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 1.30 บาท/หุ้น
สัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float) 43.12 % (ณ. 14 มี.ค. 2568)
5 อันดับผู้ถือหุ้นใหญ่ 1.กระทรวงการคลัง 38.90% อันดับ 2. ธนาคารกรุงเทพ 8.5% อันดับ 3. สหกรณ์ออมทรัพย์การไฟฟ้าผ่านผลิตแห่งประเทศไทย 5.43 % อันดับ 4.บมจ.ธนาคารกรุงไทย 4.69% 5.บมจ.ธนาคารทหารไทยธนชาต 2.05 % ส่วนจำนวนผู้ถือหุ้นรายย่อยที่ติดหุ้น THAI มีทั้งสิ้นกว่า 110,000 ราย
ข้อมูลจากสรุปข้อสนเทศการบินไทย หุ้นการบินไทยที่ถูกห้ามขายตามเกณฑ์ไซเรนพีเรียด รวม 26,403.43 หุ้น สัดส่วน 93.3 %
เมื่อครบ 6 เดือน นับจากวันที่หุ้นเริ่มกลับเข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ สามารถทะยอยขายได้ 6,600.86 ล้านหุ้น คิดเป็น 23.3 %
- เมื่อครบ 1 ปี นับจากวันที่หุ้นเริ่มกลับเข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ สามารถขายได้ 19,802.57 ล้านหุ้น หรือ 70 %
หุ้นการบินไทยจำนวนมากถูกล็อคไว้รวม 93% ของหุ้นทั้งหมดของบริษัทฯ ซึ่งรวมถึงหุ้นประมาณ 55% ที่ถูกล็อคไว้ในปีแรก และหุ้นที่แปลงหนี้เป็นทุนก็ถูกล็อคไว้ด้วยเช่นกัน ดังนั้นมีหุ้นเพียงประมาณ 1,900 ล้านหุ้นเท่านั้นที่ซื้อขายในตลาด ทำให้มี Free Float ต่ำ ด้านต้นทุนของนักลงทุน โดยนักลงทุนบางราย จากการแปลงหนี้เป็นทุนมีต้นทุนอยู่ที่ 2.54 บาทต่อหุ้น ซึ่งหุ้นเหล่านี้ส่วนใหญ่ถูกล็อคไว้ (ข้อมูลจากบล.ลิเบอเรเตอร์)