‘จุลพันธ์’ ยันจ่อเข็นมาตรการปั๊มศก.ปลายปี บูมบริโภค การันตีQ4มาแน่กระตุ้นท่องเที่ยว
เตรียมเฮ! ‘จุลพันธ์’ ยันเอง รัฐจ่อเข็นมาตรการภาษีปั๊มบริโภคช่วงปลายปี ส่วนมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวเพิ่มเติม เดินเครื่องแน่ไม่เกินไตรมาส 4/68 รับเสียดายไทยเบรกลงทุน entertainment complex แจงเข้าใจเสียงคัดค้าน พร้อมระบุยังไม่มีแผนขุดขึ้นมาบูมใหม่ เหตุสถานการณ์การเมืองยังไม่เอื้อ
22 ส.ค. 2568 - นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.การคลัง เปิดเผยว่า รัฐบาลอยู่ระหว่างเตรียมพิจารณาผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยหลัก ๆ จะเป็นมาตรการด้านภาษีเพื่อกระตุ้นการบริโภค ส่วนรายละเอียดอยู่ระหว่างการพิจารณา จึงยังไม่สามารถชี้แจงล่วงหน้าได้ แต่ยืนยันว่าเมื่อถึงจังหวะเวลาที่เหมาะสมก็จะมีความชัดเจนออกมาอย่างแน่นอน ส่วนมาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวนั้น ยังอยู่ระหว่างการเร่งพิจารณา ซึ่งยืนยันว่าจะมีความชัดเจนภายในไตรมาส 4/2568 อย่างแน่นอน
“มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจปลายปี มีแน่นอน ตอนนี้ยังหารือกันอยู่ ซึ่งจะเป็นมาตรการภาษีสำหรับกระตุ้นการบริโภค รวมถึงกระตุ้นการท่องเที่ยวก็คุยกันอยู่ แต่คงพูดรายละเอียดก่อนไม่ได้ โดยยืนยันว่าสุดท้ายจะมีมาตรการออกมาแน่นอนในจังหวะเวลาที่เหมาะสม” รมช.การคลัง กล่าว
ส่วนความคืบหน้าเกี่ยวกับงบประมาณปี 2569 นั้น ขณะนี้กระบวนการในชั้นสภาผู้แทนราษฎรเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้เป็นกระบวนการของวุฒิสภาที่จะนัดพิจารณาในวันที่ 1-2 ก.ย. 2568 โดยยืนยันว่ากระบวนการในการพิจารณางบประมาณปี 2569 จะแล้วเสร็จทันเพื่อประกาศใช้ในวันที่ 1 ต.ค. นี้อย่างแน่นอน
สำหรับมาตรการเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ นั้น นายจุลพันธ์ ระบุว่า ขณะนี้รัฐบาลได้เตรียมรายละเอียดของโครงการต่าง ๆ ไว้เรียบร้อยแล้ว โดยเฉพาะมาตรการด้านการเงิน คือ มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟท์โลน) ซึ่งจะเป็นกลไกที่ดำเนินการผ่านกลไกของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ และมีกลไกตามวิธีการงบประมาณ ซึ่งจะดำเนินการผ่านกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การใช้งบกลางเพื่อเข้าไปให้ความช่วยเหลือโดยตรง ซึ่งมาตรการต่าง ๆ เหล่านี้ จะออกมาในจังหวะเวลาที่เหมาะสม
“ยืนยันว่ารัฐบาลมีช่องทางในการจัดสรรเงินงบประมาณเพื่อมาใช้ในการรองรับผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ หรือผลกระทบจากเหตุความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยวิธีการมีอยู่ เม็ดเงินหาได้ และสามารถดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างแน่นอน ตรงนี้ไม่ห่วง แต่ที่ห่วงคือ จะใช้เม็ดเงินอย่างไร ตรงนี้ต้องไปหาให้เจอ ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุปในส่วนนี้ ยังต้องประเมินสถานการณ์ และการประเมินวันนี้ก็ยังไม่สามารถประเมินได้อย่างถูกต้องและแม่นยำที่สุด เพราะสถานการณ์มีพัฒนาการอยู่ตลอดเวลา ก็ต้องไปดูมาตรการที่จะออกมาช่วยเหลือให้มีความสอดคล้องกับสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลา และการเข้าไปช่วยเหลือก็ไม่ใช่ว่าจะจบ แต่มองว่าจะต้องมีกลไกที่จะเติมเข้าไปอย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่อง และตรงจุด” นายจุลพันธ์ กล่าว
นายจุลพันธ์ ยังกล่าวถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับงบกระตุ้นเศรษฐกิจ วงเงิน 1.57 แสนล้านบาท ซึ่งมีการจัดสรรเม็ดเงินเรียบร้อยแล้ว 1.15 แสนล้านบาทนั้น ขณะนี้หน่วยงานที่รับงบประมาณมีการดำเนินการผูกพันงบประมาณแล้วเสร็จ 1.1 แสนล้านบาท เหลืออีก 5 พันล้านบาทที่ดำเนินการไม่ทัน ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะโครงการมีความซ้ำซ้อน และหน่วยงานมีการผูกพันงบประมาณไม่ทัน เนื่องจากมีเวลาจำกัดแค่ 1 เดือน ซึ่งในส่วนนี้อาจมีการพิจารณาโอนไปเพื่อลดภาระให้กับหน่วยงานของรัฐ ผ่านมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ซึ่งมองว่าตรงนี้ถือเป็นการใช้เม็ดเงินที่เป็นประโยชน์อีกมิติหนึ่ง
นอกจากนี้ ในส่วนของเม็ดเงินที่เหลือจากงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 2.6 หมื่นล้านบาทนั้น ล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ (บอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ) ได้มีมติให้โยกงบในส่วนนี้ไปเป็นงบกลางรายจ่ายกรณีฉุกเฉิน ซึ่งจะอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของสำนักงบประมาณ ซึ่งเชื่อว่าจะมีวิธีการอยู่แล้วว่าจะบริหารจัดการงบในส่วนนี้อย่างไรให้ทันภายในเวลา 1 เดือนที่เหลือ แต่มองว่าคงเป็นไปได้ยากที่จะนำงบในส่วนนี้ไปดำเนินการในลักษณะโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเหมือนที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี ในส่วนของเวียดนามที่เตรียมลงทุนในโครงการ entertainment complex วงเงิน 6 หมื่นล้านบาทนั้น รมช.การคลัง ระบุว่า ยืนยันว่าเรื่องนี้เป็นเทรนด์ของโลก ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่ โดยในส่วนของประเทศไทยยังมีเสียงคัดค้านในหลายส่วน ก็ต้องทำความเข้าใจ และอาจจะรู้สึกเสียดายว่าทำไมประเทศไทยยังไม่เริ่ม โดยสิ่งหนึ่งที่ที่ชี้ให้เห็นได้อย่างชัดเจน คือ ศักยภาพของประเทศไทยไม่ได้หายไป ซึ่งหากประเทศไทยกลับมาเดินหน้าเรื่องนี้ ก็ยังเชื่อมั่นว่าจะสามารถดึงเม็ดเงินลงทุนได้ไม่ต่ำกว่า 2 แสนล้านบาทอย่างแน่นอน แต่ยอมรับว่าในส่วนของประเทศไทยคงยังไม่มีการหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาหารือกันในช่วงนี้ เนื่องจากสถานการณ์การเมืองขณะนี้ยังไม่เอื้ออำนวย
ขณะที่โครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายจะสามารถงบกลางได้หรือไม่นั้น มองว่า บริษัทเอกชนที่ให้บริการรถไฟฟ้าเองมีศักยภาพในการดำเนินการ และสามารถแบกรับภาระเรื่องนี้บางส่วนได้ในช่วงต้น และหลังจากนั้นรัฐบาลจะต้องมาดูว่าจะชดเชยเท่าไหร่ เมื่อไหร่ และอย่างไร โดยในการพิจารณางบประมาณในช่วงที่ผ่านมาได้มีการแปรญัตติงบประมาณเพิ่มเติมในส่วนนี้ราว 3 พันล้านบาท ซึ่งเมื่อดำเนินการจริงอาจจะยังไม่พอ สุดท้ายจะขาดเท่าไหร่รัฐบาลจะต้องหากลไกในการจัดสรรเม็ดเงินเข้าไปรองรับเพิ่มเติม