โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

สัมพันธ์ไทย-ฝรั่งเศส ไม่ได้มีแต่เรื่อง ร.ศ. 112 ฝรั่งเศสเคยเป็นเพื่อนแท้ที่ไทยวางใจ

ศิลปวัฒนธรรม

อัพเดต 9 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 10 ชั่วโมงที่ผ่านมา
ภาพพระบรมสาทิสลักษณ์ของรัชกาลที่ 5 ในงานฉลองบรมราชาภิเษกสมโภชเมื่อ พ.ศ. 2416 (ค.ศ. 1873) ในช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นสาธารณรัฐในฝรั่งเศสก็ทรงติดตามความเคลื่อนไหวจากที่นั่นอย่างใกล้ชิด คำว่า Re-Coronation แปลว่า พิธีบรมราชาภิเษก ครั้งที่ 2

ความสัมพันธ์ไทย-ฝรั่งเศส ไม่ได้มีแต่เรื่อง ร.ศ. 112 ฝรั่งเศสเคยเป็นเพื่อนแท้ที่ไทยวางใจ

ความสัมพันธ์ไทย-ฝรั่งเศส เริ่มตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีการส่งราชทูตไปเข้าเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ณ พระราชวังแวร์ซายส์ (พ.ศ. 2229) ความสัมพันธ์ทางการทูตของสองประเทศพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ หากภาพจำของฝรั่งเศสในใจคนไทยมักเป็นเหตุการณ์ ร.ศ. 112 ในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งจบลงด้วยความบาดหมางกินใจและไม่ไว้วางใจกันอีกต่อไปของชาวสยามกับฝรั่งเศส

หากก่อนหน้านั้นในช่วงต้นรัชกาลที่ 5 ความสัมพันธ์ไทย-ฝรั่งเศส นั้น “ฝรั่งเศสคือเพื่อนแท้ที่ไทยวางใจและพึ่งพิงกว่าชาติอื่นใด”

ข้อเท็จจริงเรื่องนี้ ไกรฤกษ์ นานา ได้ค้นคว้าและเรียบเรียงไว้ในบทความ “พระราชสาส์นส่วนพระองค์รัชกาลที่ 5 ถึงกงสุลฝรั่งเศสชี้นโยบายโปรฝรั่งเศสเมื่อต้นรัชกาล” เผยแพร่ในนิตยสาร ศิลปวัฒนธรรม ฉบับกรกฎาคม 2559 เนื้อหาส่วนหนึ่งมีดังนี้ [จัดย่อหน้าและเน้นคำใหม่-กองบก.ออนไลน์]

*อังกฤษและฝรั่งเศสซึ่งบังเอิญเป็นภาคีกันในระยะนั้นได้โหมนโยบายรุกเอเชียด้วยการเสนอที่จะปฏิรูประบบเศรษฐกิจอันล้าสมัยแบบเดิมไปสู่เสรีทางการค้า การปฏิรูปไม่สำเร็จเท่าเทียมกันในหมู่ชาวเอเชีย เช่น อังกฤษ-ฝรั่งเศส ต้องเผชิญหน้ากับจีนในสงครามฝิ่นถึง 2 ครั้ง แต่กลับสำเร็จในบางประเทศที่ตามทันความคิดของตะวันตก เช่น สยาม*

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ต่อไปจะเรียกว่ารัชกาลที่ 4) ทรงตระหนักถึงความต้องการของการกำหนดนโยบายของเจ้าอาณานิคม จึงได้ทรงหันมาใช้นโยบายโอนอ่อนผ่อนตามเท่าที่จำเป็น (เรียกนโยบายลู่ตามลม – ผู้เขียน) ในขณะเดียวกันก็ทรงดำเนินพระราชกุศโลบายให้อังกฤษและฝรั่งเศสคานอำนาจกันเองกับการแผ่อิทธิพล ซึ่งในทางอ้อมมีผลให้อังกฤษ-ฝรั่งเศสใช้นโยบายที่ผ่อนปรนและมีไมตรีจิตต่อสยามมากกว่าชาวเอเชียอื่นๆ…

อำนาจของอังกฤษและฝรั่งเศสข่มรัศมีและขจัดบารมีของจีนลงโดยสิ้นเชิง ดุลยภาพของอิทธิพลจีนในอดีตจึงเสียไปและสยามก็เป็นประเทศแรกที่ตีตัวออกห่างจากจีน หันไปจิ้มก้อง (เจริญสัมพันธไมตรีและถวายราชบรรณาการ) ให้อังกฤษกับฝรั่งเศสแทนจีนอย่างมั่นใจ

ข่าวการลงนามในสนธิสัญญาทางพระราชไมตรีระหว่าง เซอร์จอห์น เบาริ่ง (Sir John Bowring) ราชทูตอังกฤษกับราชสำนักไทยเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2398 ล่วงรู้ไปถึงรัฐบาลฝรั่งเศส ฝรั่งเศสจึงเกิดความกังวลใจเกรงว่าอังกฤษจะได้รับผลประโยชน์จากไทยเป็นอันมาก ฝรั่งเศสรู้สึกว่าเป็นการน้อยหน้าอังกฤษ ที่สำคัญคือ นอกจากอังกฤษจะได้รับผลประโยชน์แล้ว อังกฤษอาจจะใช้ภาคเหนือของไทยเป็นบันไดก้าวจากพม่าตรงไปยังยูนนาน ดังนั้น รัฐบาลฝรั่งเศสจึงรีบเร่งตั้ง ชาร์ลส์ เดอ มงตีญี่ (Charles de Montigny) เป็นราชทูตเข้ามาเจรจากับไทย เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2398 ต่อมาได้มีการลงนามในสนธิสัญญาทางพระราชไมตรีระหว่างฝรั่งเศสกับสยามเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2399

เมื่อ เซอร์จอห์น เบาริ่ง เข้ามาทำสนธิสัญญาเบาริ่ง ใน พ.ศ. 2398 นั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเกิดความคิดที่จะติดต่อกับพระราชินีอังกฤษ (Queen Victoria) โดยตรง เพื่อจะได้ไม่ต้องผ่านคนกลาง คือ ราชทูตอังกฤษ ทรงตระหนักว่าการเจรจาความเมืองใดๆ ควรจะกระทำกับรัฐบาลอังกฤษโดยตรง เพราะพระราชินีอังกฤษเป็นหัวหน้าคณะรัฐบาลและมีอำนาจเหนือราชทูต จึงได้มีพระราชหัตถเลขาฉบับแรกไปถึงสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียในลอนดอน

ต่อมาใน พ.ศ. 2399 (ค.ศ. 1856) เมื่อฝรั่งเศสเข้ามาทำสนธิสัญญากับสยามบ้าง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็มิได้ทรงมองข้ามความสำคัญของฝรั่งเศสในฐานะที่เป็นประเทศมหาอำนาจในระดับเดียวกัน ประจวบกับการที่พระสหายชาวฝรั่งเศสของพระองค์คือบาทหลวงปาเลอกัว (Monseigneur Pallegoix) ก็ได้ทูลแนะนำว่าพระเจ้านโปเลียนที่ 3 ทรงอานุภาพและมีบารมีเช่นเดียวกับพระราชินีอังกฤษ สมควรที่พระองค์จะให้ความสำคัญในลักษณะเดียวกัน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นจริงตามนั้น จึงได้ทรงพยายามผูกมิตรกับพระเจ้านโปเลียนที่ 3 ไว้ให้แน่นแฟ้น เพื่อถ่วงดุลอำนาจของอังกฤษในภายภาคหน้า…

การแข่งขันของฝรั่งเศสกับอังกฤษในเอเชียมีเดิมพันสูงเพราะฝรั่งเศสจะแพ้ไม่ได้ นอกจากจะต้องไม่แพ้แล้วยังต้องไม่น้อยหน้าอีกด้วย เนื่องจากอังกฤษเป็นต่ออยู่หลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการได้ครอบครองอินเดีย ออสตราเลเซีย และหมู่เกาะส่วนใหญ่ในมหาสมุทรอินเดียและทะเลจีนใต้ การเข้ามาของฝรั่งเศสจึงต้องเร่งรัดชนิดทุ่มหมดหน้าตักโดยต้องใช้ไม้นวมและไม้แข็งควบคู่กันไป

ไม้แข็งก็คือนโยบายรุกคืบในคาบสมุทรอินโดจีนอย่างไม่ไว้หน้าใคร แต่ไม้นวมก็จำต้องทำควบคู่กันโดยใช้มิตรภาพเป็นใบเบิกทาง ฝรั่งเศสหันไปร่วมมือกับอังกฤษในสงครามฝิ่นกับจีนแล้วเริ่มแสวงหาพันธมิตรกับเจ้าถิ่นเดิมอย่างสยามเพื่อสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจต่อแผนการในอนาคต

พระเจ้านโปเลียนที่ 3 ทรงแสดงพระองค์อย่างออกนอกหน้าที่จะยกย่องสยามเหนือประชาคมเอเชียทั้งหมดด้วยการให้ท้ายสยามว่าเป็นชาติมหาอำนาจตัวแทนจากเอเชียที่น่าจับตามองและน่าคบค้ามากกว่าจีนและญี่ปุ่น โดยการอุปโลกน์ให้ภาพสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็นผู้นำเพียงคนเดียวจากเอเชียที่มีบารมีทัดเทียมผู้นำชาติมหาอำนาจยุโรปอื่นๆ

นอกจากนี้การแสดงออกในวาระต่างๆ ในช่วงรัชสมัยพระเจ้านโปเลียนที่ 3 ยังบ่งชี้การให้ท้ายและเอาใจผู้นำสยามมากกว่าผู้นำเอเชียทั้งมวล ซึ่งไม่ทรงเคยกระทำมาก่อนเลยกับประเทศด้อยพัฒนานอกทวีปยุโรป ที่พอจะประมวลได้มี

1. พระเจ้านโปเลียนที่ 3 ทรงส่งพระราชสาส์นสนับสนุนรัชกาลที่ 4 ให้ทรงแต่งตั้งสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจุฬาลงกรณ์ขึ้นเป็นองค์รัชทายาท พระราชสาส์นของนโปเลียนมีความสำคัญและถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นข้ออ้างในความคิดดังกล่าวในที่ประชุมเสนาบดีที่กรุงเทพฯ เกื้อหนุนให้นโยบายการเมืองของสยามมีเสถียรภาพในระยะต่อมาเสมือนการป้องกันไม่ให้เกิดการแย่งชิงการสืบทอดราชวงศ์โดยกลุ่มขุนนางผู้ทรงอิทธิพลในสมัยนั้น

2. พระเจ้านโปเลียนที่ 3 พระราชทานกระบี่ประจำพระองค์แด่องค์รัชทายาท (เจ้าฟ้ามหาจุฬาลงกรณ์) เข้ามาจากฝรั่งเศสเป็นการเฉพาะ เป็นการแสดงความให้เกียรติและส่งเสริมพระบารมีต่อรัชทายยาทองค์ใหม่ในสายตาเหล่าขุนนางผู้มากด้วยอิทธิพลในราชสำนักเวลานั้น

3. เครื่องราชบรรณาการชุดแรกจากพระเจ้านโปเลียนที่ 3 ถูกพระราชทานเข้ามาพร้อมกับนายมงตีญี่ ราชทูตพิเศษของพระเจ้านโปเลียนที่ 3 เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2399 (ค.ศ. 1856) ของพระราชทานในครั้งนั้นมีพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ของพระเจ้านโปเลียนที่ 3 และมเหสี พระแสงปืน เครื่องม้าเทียมลาก ระย้าแขวน ฉากแผนที่เมืองปารีส ถ้ำมอง (กล้อง) หีบแก้วครอบมีตุ๊กตานกไขลาน แก้วทับกระดาษ และหีบเทียน

ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วเครื่องราชบรรณาการจากพระเจ้านโปเลียนที่ 3 (พ.ศ. 2399) ถูกส่งเข้ามาก่อนเครื่องราชบรรณาการจากรัชกาลที่ 4 ที่มีพระมหามงกุฎอันโด่งดัง (พ.ศ. 2404) เสียอีก โดยที่นโปเลียนไม่เคยพระราชทานให้ผู้นำเอเชียคนใดมาก่อนหน้านี้

4. พ.ศ. 2404 (ค.ศ. 1861) เมื่อคณะราชทูตไทยชุดพระยาศรีพิพัฒน์เป็นราชทูตเดินทางไปเข้าเฝ้าถวายเครื่องราชบรรณาการแด่พระเจ้านโปเลียนที่ 3 ถึงฝรั่งเศสนั้น พระองค์มีพระราชประสงค์ให้วาดภาพการต้อนรับคณะทูตขึ้นอย่างวิจิตรบรรจงเพื่อเป็นที่ระลึก จิตรกรหลวงนามว่าเจโรม ได้ถูกคัดเลือกให้วาดภาพนั้นขึ้น ภาพขนาดใหญ่เท่าคนจริงเก็บรักษาไว้ที่ฝรั่งเศส ส่วนภาพสำเนาขนาดย่อมถูกส่งมาพระราชทานเป็นของขวัญถึงกรุงเทพฯ

ภาพการเข้าเฝ้าครั้งนั้นได้รับการยกย่องว่าเป็นภาพสัญลักษณ์อันโดดเด่นของรัชกาลพระเจ้านโปเลียนที่ 3 อย่างแท้จริง

5. พ.ศ. 2406 (ค.ศ. 1863) พระเจ้านโปเลียนที่ 3 ได้พระราชทานเครื่องราชอิสริยยศประดับเพชร 2 ชุด เข้ามาถวายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวถึงกรุงเทพฯ ก่อนหน้าพระเจ้าแผ่นดินองค์ใดในทวีปเอเชีย นับเป็นการถวายพระเกียรติอย่างสูงที่สุดเท่าที่ทรงเคยกระทำต่อพระเจ้าแผ่นดินที่ทรงเคารพนับถืออย่างยิ่ง

6. พ.ศ. 2406 ฝรั่งเศสตอบแทนที่รัชกาลที่ 4 ทรงจัดส่งสัตว์ป่าหายากหลายชนิดไปปารีสเพื่อการศึกษาด้วยการจัดส่งสิงโตสตัฟฟ์เข้ามาถวายเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้**

7. พ.ศ. 2409 ฝรั่งเศสและสยามมีการทำหนังสือสัญญาเรื่องเมืองเขมรและเรื่องสุราตามมาตรฐานสากลเฉกเช่นชาติเอกราชที่ฝรั่งเศสให้ความเคารพนับถือในฐานะชาติที่เจริญแล้ว

8. พ.ศ. 2410 พระเจ้านโปเลียนที่ 3 ได้พระราชทานของทรงยินดีเป็นพระแสงกระบี่องค์หนึ่งเข้ามาถวายรัชกาลที่ 4 เป็นกรณีพิเศษ

9. พ.ศ. 2410 พระเจ้านโปเลียนที่ 3 ได้ทูลเชิญประเทศสยามให้จัดส่งผู้แทนไปออกร้านในงานมหกรรมโลกที่กรุงปารีส (Exposition Universelle de Paris 1867) ในฐานะชาติที่เป็นเอกราชและเป็นที่ยอมรับโดยประชาคมโลก ซึ่งในสมัยนั้นมีเพียงสยามและญี่ปุ่นเท่านั้นที่ถูกเชื้อเชิญไปร่วมงานอย่างเป็นทางการ

10. ใน พ.ศ. 2410 อีกเช่นกันที่ราชทูตพิเศษของพระเจ้านโปเลียนที่ 3 นำรูปปั้นครึ่งองค์ของจักรพรรดิฝรั่งเศสและพระมเหสีเข้ามาทูลเกล้าฯ ถวายประดับพระเกียรติยศในฐานะพระสหายที่สนิทสนมคุ้นเคยกัน

*การแสดงออกของพระเจ้านโปเลียนที่ 3 มีน้ำหนักเพียงพอที่จะประเมินว่าทรงมีความจริงใจในการสร้างความประทับใจต่อรัชกาลที่ 4 ไม่ว่าพฤติกรรมนั้นจะแน่นอนเพียงใด แต่พระราโชบายของนโปเลียนที่เสมอต้นเสมอปลายและทำอย่างประณีตพิถีพิถันก็โดดเด่นเกินกว่าการคบค้าสมาคมกับสยามแบบผิวเผินในภาพรวม…”*

อ่านเพิ่มเติม:

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่**

เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 22 กุมภาพันธ์ 2564

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : สัมพันธ์ไทย-ฝรั่งเศส ไม่ได้มีแต่เรื่อง ร.ศ. 112 ฝรั่งเศสเคยเป็นเพื่อนแท้ที่ไทยวางใจ

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.silpa-mag.com

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก ศิลปวัฒนธรรม

“ผีไทย” ในสื่อบันเทิง ทำไมเป็นเพศหญิงมากกว่าเพศชาย?

8 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ใครว่า “สมเด็จพระนเรศวรไม่มีพระราชโอรส” ดูเอกสารประวัติศาสตร์ อาจมีถึง 2 พระองค์?

8 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความไลฟ์สไตล์อื่น ๆ

“มิ้นท์ อรรถวดี” ปล่อยซิงเกิลใหม่ เพลงรักสุดโรแมนติกแห่งปี

Manager Online

พิณไพเราะ เครือโสภณ น้องนักอนุรักษ์ปะการัง จากอ่าวไทยสู่เวทีโลก

Manager Online

HBO Max และ Viu เตรียมเปิดตัวแพ็กเกจรวมบริการสตรีมมิ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

Insight Daily

คำทำนายดวงชะตาระหว่างวันที่ 18 - 24 สิงหาคม 2568 โดย อ.ณัฐกฤตา นาควัชระ

Manager Online

คำทำนายดวงชะตาระหว่างวันที่ 11 –17 สิงหาคม 2568 โดย อ.ณัฐกฤตา นาควัชระ

Manager Online

iQIYI ร่วมกับ Red Elephant นำทีมนักแสดงจัดงานบวงสรวงซีรีส์ “The Love Never Sets ฉากนั้น…ยังเป็นเธอ”

Insight Daily

รวมร้าน “ชิโอะปัง” เจ้าอร่อย ให้เลือกชิมทุกระดับราคา

Thairath - ไทยรัฐออนไลน์

“คลองหรูด” อันซีนกระบี่ ฉากเด็ดหนัง “Jurassic World Rebirth” จากรากไม้ “หมูเด้ง” สู่กำเนิดใหม่จุดเช็กอิน “ไดโนเสาร์” สุดปัง

Manager Online

ข่าวและบทความยอดนิยม

สัมพันธ์ไทย-ฝรั่งเศส ไม่ได้มีแต่เรื่อง ร.ศ. 112 ฝรั่งเศสเคยเป็นเพื่อนแท้ที่ไทยวางใจ

ศิลปวัฒนธรรม

“งูเห่า” ยังแพ้ “อ้ายลูก 3 พ่อ” คำต่อว่าคนเห็นแก่ได้ แบบโนสนโนแคร์

ศิลปวัฒนธรรม

ทำไมเรียกว่า “ข้าวแต๋น” แล้ว “น้ำแตงโม” เกี่ยวอะไรด้วย

ศิลปวัฒนธรรม
ดูเพิ่ม
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...