ย้อนหลักฐานมัด “ลุงพล” คดีน้องชมพู่ “รอยตัดเส้นผม” สู่โทษจำคุก 26 ปี
ย้อนหลักฐานมัดตัว “ลุงพลไชย์พล วิภา” คดีน้องชมพู่ ตำรวจพบ รอยตัดเส้นผม แบบผิดธรรมชาติ ที่พบบริเวณที่เกิดเหตุ ตรงกับเส้นผมในรถของลุงพล สอดคล้องกับคำพิพากษาฉบับเต็ม ในคดีหมายเลขดำที่ อ 1013/2564
หลังจากที่ศาลจังหวัดมุกดาหาร อ่านคำพิพากษาคดีน้องชมพู่ ในคดีหมายเลขดำที่ อ 1013/2564 สรุปคำตัดสินให้ “ลุงพล” หรือ “นายไชย์พล วิภา” อายุ 47 ปี จำคุกรวม 20 ปี จากความผิดข้อหากระทำ 2 ข้อหา กระทำโดยประมาทให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย 10 ปี พรากเด็กอายุไม่เกิน 15 โดยปราศจากเหตุอันสมควร 10 ปี
บางตอนของ คำพิพากาษา ให้ระบุถึงหลักฐานชิ้นสำคัญ ประกอบการตัดสินคดี ได้แก่ รอยตัดเส้นผม โทรศัพท์ และข้อพิรุธหลายอย่าง
สรุปหลักฐาน รอยตัดเส้น ประกอบคำตัดสินจำคุก “ลุงพล”
แม้ว่าก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจะไม่ได้มีการอัปเดตเกี่ยวกับ ความคืบหน้าของคดีน้องชมพู่หลังจากเกิดเหตุการร์การหายตัวและเสียชีวิตปริศนาในปี 2563 กระทั่งล่าสุดในวันพุธที่ 20 ธันวาคม 2566 ศาลจังหวัดมุกดาหารได้อ่านคำพิพากษาคดีน้องชมพู่ ในคดีหมายเลขดำที่ อ 1013/2564 ระหว่างพนักงานอัยการจังหวัดมุกดาหาร โจทก์ นางสาวิตรี วงศ์ศรีชา โจทก์ร่วมที่ 1 นายอนามัย วงศ์ศรีชา โจทก์ร่วมที่ 2 กับนายไชย์พล วิภา หรือลุงพล จำเลยที่ 1 และ น.ส.สมพร หลาบโพธิ์ หรือ ป้าแต๋น จำเลยที่ 2 โดยมีโจทก์ร่วมทั้งสองยื่นคำร้องขอเรียกค่าสินไหมทดแทนทางแพ่ง
หนึ่งในหลักฐานสำคัญที่เจ้าหน้าที่ได้จากการตรวจสอบจุดพบศพน้องชมพู่ และภายในรถยนต์ของลุงพล คือ ผลการตรวจเส้นผมที่พบว่าถูกตัดแบบผิดธรรมชาติในที่เกิดเหตุพบร่างเสียชีวิตของน้องชมพู่ โดยเมื่อตรวจกับเส้นผมที่พบในรถของลุงพล ก็พบว่าตรงกันและยังเป็นเส้นผมที่เกิดจากการถูกตัดด้วยของมีคมชนิดเดียวกันอีกด้วย
คำพิพากษาฉบับเต็มของศาลจังหวัดมุกดาหารพบุว่า ได้พบเส้นผมของผู้ตายหลายเส้นซึ่งมีลักษณะคล้ายถูกของมีคมตัด ทำให้สรุปได้ว่าน้องชมพู่ไม่สามารถใช้ของมีคมตัดผมของตัวเองได้ และจะต้องมีคนร้ายเป็นคนพาไปยังที่เกิดเหตุ
“ประกอบกับบริเวณดังกล่าวมีการตรวจพบเส้นผมผู้ตายหลายเส้นที่มีลักษณะถูกตัดด้วยของแข็งมีคม จึงเชื่อว่า ผู้ตายซึ่งมีอายุเพียง 3 ปีเศษ ไม่สามารถเดินขึ้นไปถึงบริเวณที่พบศพและใช้ของแข็งมีคมตัดเส้นผมของตนเองได้ แต่ต้องมีคนร้ายพาผู้ตายไป”
นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานสนับสนุนจากการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการค้นหาหลักฐานเพิ่มเติมในรถยนต์ของลุงพล จนพบกับหลักฐานชิ้นสำคัญ ที่จะกลายเป็นจุดพลิกผันและมัดตัว ลุงพล นั่นก็คือ เส้นผมจำนวน 16 เส้น และวัตถุพยานอื่น ๆ ที่มีผลการตรวจสอบทางวิทยศาสตร์ระบุว่า เส้นผมจากที่เกิดเหตุและในรถของ ลุงพล ถูกตัดด้วยของมีคมชนิดเดียวกัน
“ประการสุดท้าย ภายหลังเจ้าพนักงานตำรวจตั้งข้อสงสัยว่า จำเลยที่ 1 เป็นคนร้าย จึงมีการเข้าตรวจค้นรถยนต์จำเลยที่ 1 พบเส้นผม 16 เส้น และวัตถุพยานอื่น โดยผลการตรวจสอบทำงวิทยาศาสตร์ประกอบกับคำเบิกความของพยานผู้เชี่ยวชาญปรากฏว่า เส้นผม 1 เส้น ที่ตกอยู่ในรถยนต์จำเลยที่ 1 มีองศาของรอยตัด หน้าตัด และพื้นผิวด้านข้างตรงกันกับเส้นผมผู้ตาย 2 เส้น ซึ่งตรวจเก็บได้จำกบริเวณที่พบศพผู้ตาย เส้นผมทั้ง 3 เส้น ดังกล่าว จึงถูกตัดในคราวเดียวกัน ด้วยวัตถุของแข็งมีคมชนิดเดียวกัน เชื่อว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ใช้ของแข็งมีคมตัดเส้นผมผู้ตาย แต่ด้วยเหตุที่เส้นผม มีขนาดเล็กมาก จำเลยที่ 1 จึงไม่สังเกตว่ามีเส้นผมผู้ตายเส้นหนึ่งตกอยู่ในรถยนต์ของตน”
ทั้งนี้ จากคำพิพากษาศาลจังหวัดมุกดาหารฉบับเต็ม สรุปแล้วว่า ลุงพล มีความผิดตำมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291, 317 วรรคแรก ฐานกระทำ โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตำย จำคุก 10 ปี ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจำกบิดามารดา โดยปราศจำกเหตุอันสมควร จำคุก 10 ปี รวมโทษจำคุกทั้งหมด 20 ปี
“พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตำมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291, 317 วรรคแรก ฐานกระทำ โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตำย จำคุก 10 ปี ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจำกบิดามารดา โดยปราศจำกเหตุอันสมควร จำคุก 10 ปี ข้อหาอื่นสาหรับจำเลยที่ 1 ให้ยก และยกฟ้องโจทก์สาหรับจำเลยที่ 2 กับให้จำเลยที่ 1 ชาระค่าสินไหมทดแทนทำงแพ่งให้แก่โจทก์ร่วมทั้งสอง”
อย่างไรก็ดี ยังไม่ปิดฉากตำนานคดีน้องชมพู่ กับมหากาพย์การหายตัวและเสียชีวิตปริศนา ที่ต่อสู้กันในกระบวนการทางกฎหมายมานานกว่า 3 ปี เสียทีเดียว เพราะนี้ยังเป็นเพียงคำพิพากษาศาลชั้นต้น เชื่อว่าลุงพลต้องประกันตัวมาสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ต่อไป
จาก 20 ปี เพิ่มเป็น 26 ปี จำคุก ลุงพล ฆาตกร น้องชมพู่
ย้อนกลับไป เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2568 ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ได้อ่านคำพิพากษาในคดีที่สังคมให้ความสนใจมาอย่างยาวนาน ซึ่งคำพิพากษาในชั้นอุทธรณ์นี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญจากคำตัดสินของศาลชั้นต้น (ศาลจังหวัดมุกดาหาร) ที่เคยพิพากษาเมื่อปี 2566 ให้จำคุกลุงพล 20 ปี ในข้อหาประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
สำหรับคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ได้ปรับฐานความผิดและบทลงโทษใหม่ใน 3 ข้อหาสำคัญ ได้แก่
- ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา : จำคุก 15 ปี
- พรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีฯ : จำคุก 10 ปี
- กระทำการต่อศพเพื่อเปลี่ยนแปลงที่เกิดเหตุ : จำคุก 1 ปี
เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว คงเหลือโทษจำคุกทั้งสิ้น 26 ปี และให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่บิดามารดาของน้องชมพู่รวมเป็นเงิน 2,550,000 บาท ส่วน นางสมพร หลาบโพธิ์ หรือ “ป้าแต๋น” ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ ยกฟ้อง
ภายหลังทราบคำพิพากษา ทางฝ่ายจำเลยได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เพื่อขอปล่อยตัวชั่วคราวในระหว่างรอยื่นฎีกา แต่ล่าสุดในวันที่ 14 สิงหาคม 2568 ศาลฎีกาได้มีคำสั่ง ไม่อนุญาตให้ประกันตัว โดยให้เหตุผลว่าเป็นคดีที่มีอัตราโทษสูง พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง และเกรงว่าจำเลยอาจจะหลบหนี ส่งผลให้นายไชย์พล วิภา หรือลุงพล ต้องถูกควบคุมตัวเข้าเรือนจำเพื่อรอขั้นตอนการยื่นฎีกาต่อไป
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง