MOVIE STATION : “Jurassic World Rebirth” ผจญภัยเน้นๆ ไดโนเสาร์กับรูปร่างใหม่ไม่เหมือนเดิม!
กลับมาเจอกันอีกครั้งนะคะ สำหรับผู้อ่านที่น่ารักของ “เนเรซ” ทุกคน ขอต้อนรับเข้าสู่ MOVIE STATION โลกแห่งความตื่นเต้นระทึกใจ ใครที่เป็นสาวกคนรักหนังเชิญมาทางนี้ได้เลยค่ะ เพราะวันนี้ เนเรซ จะพาทุกคนไปตะลุยจักรวาลJurassic ที่กลับมาอีกครั้งในรอบ3ปี ซึ่งสาวกไดโนเสาร์แบบเนเรซจะพลาดภาพยนตร์เรื่อง “Jurassic World Rebirth” (จูราสสิค เวิลด์ : กำเนิดชีวิตใหม่) ได้ยังไง แค่ชื่อเรื่องเนเรซก็อยากไปเกิดใหม่ในยุคของไดโนเสาร์เลยค่ะ บอกเลยว่าก่อนจะเข้าไปรับชมเนเรซพกความมั่นใจและความคาดหวังที่ต้องเจอไดโนเสาร์สุดโหดแบบครบเครื่อง แต่พอได้ดูแล้วอยากจะทะลุจอเข้าไปอยู่ในแก๊งค์ไล่ล่า DNA ไดโนเสาร์ด้วยเลยทีเดียว เพราะตัวละครเท่สุดๆ ไปเลย แต่ก็ดันมีเรื่องให้เนเรซต้องผิดหวังเยอะพอสมควร
โดยJurassic World Rebirth จูราสสิค เวิลด์ : กำเนิดชีวิตใหม่ ผลงานการกำกับของ "แกเร็ธ เอ็ดเวิร์ดส์" บทภาพยนตร์โดย "เดวิด เค็ปป์" ผู้เขียนบท "Jurassic Park" ภาคแรก ซึ่งได้นักแสดงแถวหน้าอย่าง "สการ์เล็ตต์ โจฮันส์สัน" , "โจนาธาน ไบเลย์" และ "มาเฮอร์ชาลา อาลี" มาร่วมแสดงในบทบาททีมปฏิบัติการพิเศษที่ต้องเดินทางไปยังสถานที่อันตรายที่สุดบนโลก นั่นคือเกาะที่เป็นศูนย์วิจัยของ Jurassic Park ดั้งเดิม ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของไดโนเสาร์ที่อันตรายที่สุดที่ถูกทิ้งไว้
สำหรับเรื่องราวในภาพยนตร์ จูราสสิค เวิลด์ : กำเนิดชีวิตใหม่ จะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลา 5 ปีให้หลังจากภาพยนตร์ Jurassic World Dominion เมื่อระบบนิเวศของโลกส่วนใหญ่ไม่เอื้ออำนวยต่อการดำรงชีวิตของไดโนเสาร์ ไดโนเสาร์ที่เหลืออยู่จึงอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมแถบเส้นศูนย์สูตรอย่างโดดเดี่ยว ท่ามกลางภูมิอากาศคล้ายกับที่พวกมันเคยเจริญเติบโต และสัตว์ร่างยักษ์สามชนิดในประวัติศาสตร์ ได้กลายเป็นกุญแจ DNA ดอกสำคัญ ที่จะนำมาซึ่งประโยชน์ในการช่วยชีวิตมนุษยชาติ
ถึงแม้ว่าภาพยนตร์ไตรภาคที่ผ่านมาจะยังไม่เคยเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับการทดลองที่ล้มเหลวของศูนย์วิจัยแห่งแรกของ InGen แต่สิ่งที่จะได้รับชมในภาพยนตร์ภาคนี้อย่างแน่นอนก็คือ การกลายพันธุ์สุดตื่นตาตื่นใจดังที่ปรากฏในตัวอย่างแรกที่ปล่อยออกมา นอกเหนือจาก ‘บราคิโอซอรัส’ และ ‘ไดโนเสาร์บินได้ขนาดใหญ่ชนิดใหม่แล้ว ผู้ชมทุกคนจะยังได้เห็นการหวนคืนของ T-rex, โมซาซอรัส, ไดโลโฟซอรัส และพระเอกในภาคก่อนอย่าง แร็ปเตอร์ ด้วย ดังนั้นแล้ว การกลับมาของภาพยนตร์ไดโนเสาร์ครั้งนี้ นอกจากจะเป็นที่จับตาถึงเรื่องราวที่จะถูกนำเสนอแล้ว การประสบความสำเร็จ และการกวาดรายได้ทั่วโลก ก็เป็นสิ่งที่หลาย ๆ คนตั้งตาลุ้นไม่แพ้กัน
รีวิว "Jurassic World: Rebirth" จาก เนเรซ (6/10 คะแนน)
สำหรับความสนุกของภาพยนตร์เรื่อง "Jurassic World: Rebirth" (จูราสสิค เวิลด์: กำเนิดชีวิตใหม่) ส่วนตัวเนเรซให้คะแนน 6/10 ค่ะ บอกตามตรงว่าค่อนข้างผิดหวังกับภาคนี้มากเลยล่ะ ในฐานะสาวกจักรวาลไดโนเสาร์ที่ตั้งตารอคอยมาหลายปี เนเรซรู้สึกเหมือนอกหักจริงๆ ค่ะ
“เมื่อไดโนเสาร์กลายเป็นตัวประกอบ”
สิ่งที่ทำให้ผิดหวังที่สุดคือการปรากฏตัวของไดโนเสาร์ดั้งเดิมน้อยเกินไป แถมไดโนเสาร์กลายพันธุ์บางตัวก็ดูเหมือนสัตว์ประหลาดเอเลี่ยนมากกว่า ทำให้สูญเสียความเป็นเอกลักษณ์ของจักรวาล Jurassic ไปเยอะเลยค่ะ ดูตั้งแต่ต้นจนจบก็รู้สึกว่าไดโนเสาร์เหมือนถูกนำมาแค่ประกอบฉากเพื่อสร้างความตื่นเต้น แต่ก็ยังไม่สุด อย่างฉากไล่ล่าก็ยังไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าที่ควร เพราะความไม่ต่อเนื่องของเรื่องราวนั่นเอง
เนื้อเรื่อง “จุดเริ่มต้นที่น่าสนใจแต่ไปไม่สุด”
เริ่มต้นกันที่เนื้อเรื่อง ช่วงเปิดเรื่องในมหาสมุทรดูเหมือนจะดีเลยค่ะ ได้เห็นภาพไดโนเสาร์ต่างสายพันธุ์ที่เอื้อเฟื้อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ช่วงนั้นไดโนเสาร์มีบทบาทค่อนข้างมาก แต่พอถึงกลางเรื่อง ไดโนเสาร์กลับหายไปนาน แล้วไปเน้นเล่าเรื่องตัวละครมนุษย์มากเกินไป ช่วงที่ตัวละครหลบภัยอยู่บนเกาะก็ดูไม่ค่อยสมจริง การไล่ล่าระหว่างไดโนเสาร์กับมนุษย์ก็ดูไม่ค่อยสมเหตุสมผล บางฉากไดโนเสาร์ดูฉลาดราวกับดักทางคนได้ทุกทาง แต่พอล่าเหยื่อไม่สำเร็จกลับเดินจากไปง่ายๆ ซะงั้น สรุปคือเนื้อเรื่องเน้นไปทางการเดินทางของตัวละครมนุษย์มากเกินไปจนรู้สึกขัดกับชื่อเรื่อง"Jurassic World" ค่ะ แถมไดโนเสาร์กลายพันธุ์ตัวบอสใหญ่ในภาคนี้ก็มีหน้าตาเหมือนเอเลี่ยนผสมกับพรีเดเตอร์ หรือไม่ก็ไคจูไปเลย ทำให้หนังดูเป็นหนังสัตว์ประหลาดเอเลี่ยนไปเต็มๆ เรียกได้ว่าสู้ภาคก่อนหน้านี้ไม่ได้เลยจริงๆ ค่ะ
นักแสดงและบทบาท “แย่งซีนจนไม่รู้จะโฟกัสใคร”
มาที่ส่วนของนักแสดงและบทบาทของตัวละคร เนเรซรู้สึกว่าตัวเด่นเยอะเกินไป จนไม่รู้จะโฟกัสใครก่อนดีค่ะ แต่ที่โดดเด่นคือน้องที่เล่นเป็น “อิซาเบลล่า” ค่ะ เธอเข้าถึงอารมณ์และสื่อสารอารมณ์ได้ชัดเจนมาก ส่วน “ดร.เฮนรี” (ตัวหลัก) ก็ถ่ายทอดบทบาทนักวิทยาศาสตร์ได้อย่างสมจริง มีฉากหนึ่งที่เนเรซชอบมากคือฉากที่ดรกำลังดึงเลือด DNA ออกจากไข่ไดโนเสาร์ แล้วบอกเหตุผลในการเก็บตัวอย่าง DNA ของไดโนเสาร์ยุคก่อนกาล 3 สายพันธุ์ให้ “โซรา” (ตัวละครหลักอีกคน) ได้รู้ถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของดร. ส่วนตัวละครโซรา ซึ่งเป็นตัวละครหลักเพศหญิง กลับยังเด่นไม่สุด แถม “ดันแคน” ที่ตอนแรกเหมือนจะไม่มีบทบาท แต่ตอนท้ายกลับกลายเป็นอัศวินขี่ม้าที่ยอมสละชีวิตเพื่อช่วยทุกคนให้หนีรอด (แม้สุดท้ายจะไม่ตายก็ตาม) สำหรับเนเรซมองว่าโดยรวมแล้วตัวละครมนุษย์ดูเหมือนจะแย่งกันเด่น แต่กลับกัน ไดโนเสาร์กลับไม่ค่อยเด่นเท่าไร รู้สึกว่าบทบาทตัวละครกับนักแสดงดูขัดกันไปนิดหน่อย ทำให้บางฉากบางมุมดูแข็งๆ ไปบ้าง เลยไม่ค่อยอินกับตัวละครเท่าที่ควรค่ะ
สรุป “ผิดหวังแต่ยังมีหวังในจักรวาลไดโนเสาร์”
เนเรซขอสรุปภาพรวมของหนังเรื่องนี้ว่ามันดูเหมือนหนังเกรดบีไปหน่อย เพราะมุมภาพค่อนข้างธรรมดา ทำให้ผิดหวังสำหรับแฟนๆ ที่ตั้งตารอ ซึ่งชื่อเรื่องคือ"Jurassic World: Rebirth" (จูราสสิค เวิลด์: กำเนิดชีวิตใหม่) แต่พอดูจบแล้วเนเรซกลับรู้สึกเหมือนอยาก "เกิดใหม่" จริงๆ เลยค่ะ ไม่ใช่ดูแล้วอินนะคะ แต่ดูแล้วอยากเกิดใหม่เพราะผิดหวังมากจริงๆ!
แต่ที่เนเรซยังให้คะแนนเท่านี้ เพราะยังชื่นชอบในจักรวาลไดโนเสาร์อยู่ค่ะ ถึงแม้จะผิดหวังไปหน่อย ก็ยังคงรอดูต่อไปในภาคหน้าค่ะ อีกส่วนที่ชอบในภาคนี้คือ โลเคชั่น ค่อนข้างดีเลยทีเดียว แต่ถึงแม้สถานที่ถ่ายทำจะสวยงามแค่ไหน เนื้อเรื่องก็ไปไม่สุด อารมณ์แบบว่ามันไปได้อีกไกล ทำให้เป็นจุดบอดของเรื่องนี้
และอีกหนึ่งสิ่งที่เนเรซชอบมากที่สุดคือ"ไดโนเสาร์ตัวน้อย" ค่ะ อยากรู้ไหมคะว่ามันคือตัวอะไร ถ้าอยากรู้ทุกคนต้องไปชมค่ะ! ถ้าใครทราบแล้วมาช่วยคลายข้อสงสัยให้เนเรซทีค่ะ คือสงสัยมากว่าน้องมีประโยชน์อะไร พ่อแม่ของน้องไปไหน ทำไมทุกครั้งที่โผล่มาทำเนเรซใจละลายทุกที! เป็นไปได้ เนเรซอยากทะลุจออุ้มกลับมาเลี้ยงเลยค่ะ ใครที่อยากตกหลุมรักน้องไดโนเสาร์ตัวนี้เหมือนเนเรซ อย่าลืมไปชมกันนะคะ สามารถรับชมได้ที่โรงภาพยนตร์ทุกแห่งตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม เป็นต้นไป ได้คำตอบแล้วอย่าลืมมาบอกกันนะคะ
“MOVIE STATION”
โดย เนเรซ