POP: ครบรอบ 28 ปี Princess Mononoke แอนิเมชันที่เน้นย้ำความสัมพันธ์ ระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ
วันนี้เมื่อ 28 ปีที่แล้ว (12 กรกฎาคม 1997) เกิดปรากฏการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ในวงการแอนิเมชันญี่ปุ่น กับการมาถึงของ ‘เจ้าหญิงจิตวิญญาณแห่งพงไพร’ หรือ‘Princess Mononoke’ ภาพยนตร์แอนิเมชันในปี 1997 ที่พลิกโฉมแอนิเมชันของค่ายจิบลิ (Studio Ghibli) ไปตลอดกาล
ต้องเล่าก่อนว่าในสมัยก่อนอนิเมะญี่ปุ่นมีวิธีการเล่าเรื่องที่เน้นเนื้อหาเหมาะกับเด็ก โดยส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลมาจากโลกตะวันตกอย่างดิสนีย์ ที่มักจะเล่าเรื่องโดยแบ่งแยกความชั่วและความดีของตัวละครออกจากกันอย่างชัดเจน
จนกระทั่งยุค 70-90s ผู้สร้างอนิเมะญี่ปุ่นหลายค่ายเริ่มให้อิสระกับการเล่าเรื่อง ส่งผลให้เกิดอนิเมะแนวทดลองที่มอบแนวทางใหม่ให้กับวงการแอนิเมชันญี่ปุ่น หนึ่งในนั้นคือ Princess Mononoke (1997) แอนิเมชันขนาดยาวผลงานการกำกับลำดับที่ 5 ของ ‘ฮายาโอะ มิยาซากิ’ (Hayao Miyazaki) ภายใต้ชื่อสตูดิโอ Ghibli
‘Princess Mononoke’ หรือ ‘เจ้าหญิงจิตวิญญาณแห่งพงไพร’ บอกเล่าการต่อสู้ระหว่างมนุษย์จอมโลภและผืนป่าธรรมชาติที่โกรธเกรี้ยว ผ่านการเดินทางเพื่อแก้คำสาปของเจ้าชายอะชิทากะ หลังจากที่เขาลงมือฆ่าปีศาจหมูป่ายักษ์ที่เข้ามาทำร้ายคนในหมู่บ้าน ที่ทำให้เขาได้รับบาดแผลซึ่งก็คือคำสาปที่จะเปลี่ยนเจ้าชายอะชิทากะให้กลายเป็นปีศาจเหมือนหมูป่า
เจ้าชายอะชิทากะเดินทางผ่านมายังเมืองโลหะที่ทำอุตสาหกรรมเหล็ก ผลิตอาวุธเพื่อทำศึกสงครามกับเทพสัตว์ เขาได้พบกับ ‘เจ้าหญิงโมโนโนเกะ’ หรือ ‘ซัง’ ที่เติบโตมากับเทพหมาป่าโมโระ และเทพหมูป่าโอคโคโตะ การพบเจอกันระหว่างทั้งคู่ กลายมาเป็นตัวกลางระหว่างฝั่งธรรมชาติและฝั่งมนุษย์ที่ต้องหาทางยุติศึกที่เกิดขึ้นในนครโลหะแห่งนี้ให้ได้
Princess Mononoke ถือเป็นภาพยนตร์แอนิเมชันญี่ปุ่นที่ประกอบไปด้วยภาพเซลล์วาดมือกว่า 144,000 ภาพ มีการใช้คอมพิวเตอร์และ CGI เพียงแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็นับว่าเป็นแอนิเมชันที่ใช้ทุนสร้างสูงถึง 2.35 ล้านเยน ซึ่งสูงกว่าบรรดาแอนิเมชันญี่ปุ่นทั้งหมดที่สร้างขึ้นในช่วงเวลานั้น อีกทั้งความยาวถึง 133 นาที ถือว่ายาวที่สุดในบรรดาแอนิเมชันเรื่องอื่นๆ รวมถึงในค่ายจิบลิยุคนั้นด้วยเช่นกัน
สิ่งที่ทำให้ Princess Mononoke โดดเด่นและเป็นที่พูดถึงไปตลอดกาล คือเนื้อเรื่องที่เริ่มจะไม่ประนีประนอมกับผู้ชมโดยเฉพาะกับเด็กๆ เป็นที่รู้กันว่าแอนิเมชันของมิยาซากิมักโดดเด่นในเรื่องของการนำเสนอมุมมองธรรมชาติและมนุษย์ โดยผูกโยงไปกับตำนานความเชื่อของญี่ปุ่น ถ่ายทอดผ่านตัวละครมนุษย์ สัตว์ เทพเจ้า แม่มด ไม่ว่าจะเป็น Kiki’ s Delivery Service (1989) หรือ My Neighbour Totoro (1988) แต่ทั้งสองเรื่องที่กล่าวมามักเผยให้เห็นความน่ารัก และต่อให้มีฉากเศร้า แต่ก็ยังมีความอ่อนโยนที่เหมาะแก่การรับชมกันได้ทั้งครอบครัว
แต่ Princess Mononoke กลับนำเสนอในมุมที่แตกต่างออกไป เริ่มจากการสร้างตัวละครให้มีมิติมากกว่าแค่ขาวและดำ แต่ทำให้เห็นเลยว่าทุกตัวละครต่างก็มีเหตุผลของตนเอง อันดับต่อมาคือเนื้อเรื่อง มิยาซากิหยิบเอาความโกรธเคืองของเขาที่มีต่อสงครามในยูโกสลาเวีย โดยเฉพาะความคิดที่ว่า ‘มนุษย์ไม่ได้เรียนรู้อะไรจากสงครามเลย’ ความคิดนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขากล่าวว่า ตนเองไม่สามารถกลับไปสร้างแอนิเมชันที่มีแต่ความสดใสได้เหมือนเรื่องก่อนๆ อีกแล้ว
เขานำเอาความรู้สึกส่วนตัวมาผูกโยงกับตำนานเทพเจ้าแห่งป่าของญี่ปุ่นในสมัยศตวรรษที่ 14 ก่อนร้อยเรียงออกมาเป็นเรื่องราวที่พูดถึงความเสื่อมโทรมของธรรมชาติที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ โดยในเรื่องเผยให้เห็นด้านมืดอย่างตรงไปตรงมา ทั้งความเกลียดชัง ความชั่วร้ายของมนุษย์และสัตว์ ตัวละครถูกทำร้ายจนทรมาน การต่อสู้ที่เผยให้เห็นการนองเลือดและการสูญเสีย จนทำให้นักวิจารณ์หลายคนมองว่าเนื้อหาดังกล่าวมีความรุนแรงเกินกว่าจะสร้างมาเพื่อเด็กๆ
แต่เจตนารมณ์ของมิยาซากิกลับยิ่งใหญ่กว่านั้น คือนอกจากความต้องการที่จะปลูกฝังเรื่องการอนุรักษ์ธรรมชาติให้กับเด็กๆ แล้ว เขายังต้องการให้เด็กเรียนรู้มุมมองธรรมชาติและมนุษย์ที่เกิดขึ้นอย่างจริงจัง โดยเฉพาะแนวคิดที่ว่า ‘มนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ และทั้งสองต่างก็ต้องพึ่งพากันและกัน’ อีกทั้งเราจะได้เห็นเจตนารมณ์ของเขาผ่านตอนจบของเรื่อง ที่หากเป็นแอนิเมชันเรื่องอื่นๆ คงมอบ ตำแหน่งแพ้และชนะให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่กับ Princess Mononoke ผู้ชมจะไม่เห็นบทสรุปที่ชัดเจนระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ นอกจากมุมมองที่ชวนคิดต่อเท่านั้นเอง
ทั้งหมดนี้ถ่ายทอดผ่านโลกของ Princess Mononoke ที่เต็มไปด้วยฉากหลังอย่างผืนป่าสุดอลังการ และด้วยลายเส้นที่ละเอียดยิบจนเกิดความลึกซึ้งก็ส่งให้แอนิเมชันเรื่องนี้ประสบความสำเร็จด้วยรายได้ที่สูงถึง 11.3 ล้านเยน และได้รับคะแนนสูงถึง 93 เปอร์เซ็นต์ Certified Fresh บนเว็บ Rotten Tomatoes โดย เลโอนาร์ด คลาดี (Leonard Klady) แห่งนิตยสาร Variety
นอกจากนี้ Princess Mononoke ยังเป็นแอนิเมชันเรื่องแรกของประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นที่ชนะรางวัล Japan Academy Prize สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม จากเวที Japan Academy Awards ครั้งที่ 21 และยังคว้ารางวัลภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยม และรางวัลดนตรีประกอบยอดเยี่ยม จากเวที Mainichi Film Awards ในปี 1997 และรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปี จาก Kinema Junpo Awards นิตยสารภาพยนตร์เก่าแก่ของญี่ปุ่น
อย่างไรก็ตาม การมาถึงของแอนิเมชันเรื่องนี้กลายมาเป็นจุดเปลี่ยนต่อการสร้างแอนิเมชันของค่ายจิบลิรวมถึงแอนิเมชันเรื่องอื่นๆ ของญี่ปุ่นด้วย และว่ากันว่า Princess Mononoke ยังสร้างแรงบันดาลใจให้กับเจมส์ คาเมรอน (James Cameron) ในแง่ของการพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ
และในวันนี้ ‘Princess Mononoke’ เดินทางมาถึงปีที่ 28 ที่ระหว่างทางเกิดเหตุการณ์ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้โลกอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนผ่านของโลกแอนะล็อกสู่ยุคดิจิทัล อันส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติหนักหน่วงขึ้น แต่ดูเหมือนว่าแอนิเมชันเรื่องนี้ยังคงพูดถึงปัญหาได้อย่างร่วมสมัยอยู่เสมอ
‘Princess Mononoke’ สามารถรับชมได้ทางNetflix Thailand