“รังสิมันต์” แนะ “มาริษ” สื่อสารทั่วโลกให้หนักขึ้น อย่าปล่อย “กัมพูชา” แพร่ข่าวฝ่ายเดียว
นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุมวันนี้ ว่า เป็นการติดตามความคืบหน้าสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ตอนนี้การหยุดยิงน่าจะเป็นผลแล้ว แต่สิ่งสำคัญต้องคิดถึงโจทย์ระหว่างประเทศ การต่อสู้ทางการทหารไม่มีใครห่วง แต่แนวทางการรับมือที่กัมพูชาได้ดำเนินการ ทั้งการพาผู้ช่วยทูตทหาร และสื่อต่างชาติไปลงพื้นที่ชายแดน ในทางตรงกันข้ามประเทศไทยจะพาผู้ช่วยทูตทหารลงพื้นที่ในวันพรุ่งนี้ หลายฝ่ายเป็นห่วงว่าอาจจะล่าช้าไปหรือไม่ ยกตัวอย่าง หากพาผู้ช่วยทูตหรือสื่อต่างชาติไปลงพื้นที่ในวันนี้หรือพรุ่งนี้ ทุกคนจะได้เห็นบรรยากาศศูนย์อพยพ ได้คุยกับประชาชนจำนวนมาก ว่ารู้สึกอย่างไร รวมถึงพาล่ามไปแปลภาษา ทุกอย่างจบ เห็นภาพชัดเจน แต่วันนี้ยังมีประชาชนจำนวนไม่น้อยที่เป็นห่วงบ้าน และสัตว์เลี้ยงก็อาจจะทยอยกลับ จึงต้องยอมรับว่าความล่าช้าของไทย ทำเสียโอกาส ที่จะทำให้ต่างชาติได้เห็นภาพที่ชัดเจน ว่าการกระทำของกัมพูชามีเป้าหมายโจมตีไปที่พลเรือนเป็นอย่างไร
นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า วันนี้ในที่ประชุมจะมีการสอบถาม ถึงแนวทางของรัฐบาล เนื่องจากกัมพูชาได้ดำเนินการระหว่างประเทศทุกรูปแบบทุกขั้นตอน แม้กระทั่งประธานสภาของกัมพูชา ก็ไปพูดในเวทีสำคัญ ในขณะที่ไทยไม่ได้เตรียมการ เรื่องระหว่างประเทศอย่างดี และเพียงพอ
ทั้งนี้ การรบกับกัมพูชาตามแนวชายแดน เป็นสิ่งที่ชาติอื่นไม่รู้ ว่ากัมพูชาเป็นอย่างไร เขาอาจจะไม่เข้าใจอย่างที่เราเข้าใจ เพราะฉะนั้นความชอบธรรมในเวทีระหว่างประเทศของไทยจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ ดังนั้นจึงต้องมีการถ่ายทอดข้อเท็จจริง โดยไม่บิดเบือนเนื้อหา ได้เห็นถึงสิ่งที่กัมพูชาได้กระทำ เพราะกัมพูชามักทำตัวเป็นเหยื่อ ไทยจึงไม่สามารถปล่อยให้กัมพูชาเล่าเรื่อง ของเขาได้เพียงลำพัง ไทยจึงต้องสื่อสารอย่างรวดเร็ว ปัญหาคือกัมพูชาชิงเล่าก่อน ฝ่ายที่พูดทีหลังอาจจะถูกกล่าวหาว่าแก้ตัว ซึ่งเป็นเรื่องที่เสียหาย ทั้งที่มีสถานเอกอัครราชทูตตั้งอยู่ในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก มีมิตรสัมพันธ์กับประเทศต่างๆมานาน แต่ต้องยอมรับว่าตั้งแต่เกิดการรัฐประหารปี 2557 เป็นต้นมา บทบาทไทยในเวทีโลกลดลงเรื่อยๆ วันนี้เห็นผลชัดเจน ไทยต้องเผชิญหน้าประเทศที่เล็กกว่าอย่างกัมพูชา กลายเป็นว่าไทยเสียเปรียบหลายด้าน การสู้รบทางการทูตเราจะต้องเร่งสปีดให้มากกว่านี้
สำหรับการสื่อสารของไทยที่ล่าช้าดูเหมือนว่าจะไม่พัฒนา จะมีการพูดคุยในที่ประชุม เนื่องจากตนเองก็เห็นปัญหานี้เช่นกัน เราอยากเห็นการสื่อสารของรัฐบาลที่เร็วกว่านี้ ทั้งคนไทยและเวทีโลก ซึ่งส่วนนี้ยังขาดตกบกพร่องไป เรามีเหตุการณ์หลายอย่าง ที่จะทำให้เวทีโลกได้เห็น ไม่ว่าจะเป็นการวางกับระเบิด การโจมตีเป้าหมายพลเรือน หลักฐานการปะทะ ที่ไทยมีข้อมูลว่าฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้เริ่มก่อน แต่เรากลับไม่ได้เอาข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ สุดท้ายประชาคมโลกก็คิดว่าไทยไปโจมตีกัมพูชาก่อน ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่าเขาคิดว่าไทยเป็นประเทศที่ใหญ่กว่า จึงคิดว่าไทยไปโจมตี น่าเสียดายการรับมือเรื่องนี้ไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหวัง
ส่วนการประชุมวันนี้ได้เชิญ น.ส.แพทองธาร ชินวัตน นายกรัฐมนตรี และรมว. วัฒนธรรม รวมถึง นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ,พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และ นายฉัตรชัย บางชวด เลขาสมช. แต่เบื้องต้นพลเอกณัฐพลได้ติดต่อมาหาส่วนตัว ว่า ติดการประชุมที่สำคัญเกี่ยวกับไทย-กัมพูชา เราเองก็พยายามใช้เครื่องมือสูงสุดที่กรรมาธิการมี สร้างความร่วมมือกับทุกฝ่ายเพื่อหาทางออก ย้ำว่าการประชุมคณะกรรมาธิการเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากเราเห็นถึงปัญหาต่างๆ ก่อนที่จะเกิดขึ้นจริง น่าเสียดายที่ทุกฝ่ายนำไปแก้ไขล่วงหน้าเชื่อว่าไทยจะทำได้ดีกว่านี้มาก
เมื่อถามว่า เป็นเพราะรัฐบาลอ่อนแอหรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า สิ่งที่มีนัยยะสำคัญคือความชอบธรรมของรัฐบาล ต้องยอมรับว่าสังคมไม่เชื่อมั่นในรัฐบาลแล้ว คืออำนาจให้ประชาชน เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้ง และรัฐบาลที่มีความชอบธรรม การที่รัฐบาลไม่มีความชอบธรรม ทำให้ทุกฝ่ายมีคำถาม สังคมไม่ไว้ใจการเจรจาที่ประเทศมาเลเซีย ซึ่งต้องยอมรับว่าคนที่ทำให้ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นคือรัฐบาลเอง
ส่วนกรณีที่ ณอน โอนีล ว่าที่ทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย คนใหม่ แสดงความเห็นว่า การปะทะระหว่างชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่มีประโยชน์นั้น ถือเป็นคำพูดที่เจ็บแทนความรู้สึกของคนไทย จึงต้องช่วยกันกระตุ้นให้กระทรวงการต่างประเทศ ทำหน้าที่สื่อสารกับโลกให้ดีกว่านี้ เราปล่อยให้แนวความคิดแบบนี้เกิดขึ้นไม่เป็นผลดีต่อประเทศไทย เราจึงจำเป็นต้องสื่อสารกับโลกให้มากขึ้น เพราะหากทั่วโลกคิดแบบนี้ประเทศไทยเสียหาย เราทำงานล่าช้าแบบเช้าชามเย็นชามแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เคลื่อนไหวน้อยมาก ที่ผ่านมาพยายามเคลมว่าไปถึงนิวยอร์กก่อนใคร อยู่ที่สหรัฐอเมริกาแล้ว แต่เรากลับไม่เห็นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมในการสื่อสาร หรือทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยดีขึ้นอย่างที่ควรจะเป็น