โครงข่ายไฟฟ้าโลกขยาย รับพลังงานสะอาด-EV-AI ดันดีมานด์ทองแดง
ความต้องการทองแดงพุ่งเกินคาด หลังทั่วโลกทุ่มงบขยายโครงข่ายไฟฟ้า รองรับกระแสดิจิทัล พลังงานสะอาด และยานยนต์ไฟฟ้า ขณะที่อุปทานจากเหมืองใหม่ไม่เพียงพอ นักวิเคราะห์คาดราคาอาจทะลุ 12,000 ดอลลาร์ต่อตันภายในสิ้นทศวรรษ
ความต้องการใช้ทองแดงกำลังเพิ่มขึ้นเร็วกว่าที่อุตสาหกรรมคาดการณ์ไว้ โดยได้รับแรงหนุนจากการลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ทั่วโลกเพื่อปรับปรุงและขยายโครงข่ายไฟฟ้าให้ทันสมัย รองรับยุคดิจิทัลและพลังงานสะอาดซึ่งต้องการใช้ไฟฟ้าปริมาณมหาศาล ขณะเดียวกัน อุปทานจากผู้ผลิตรายใหญ่ เช่น ชิลีและสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ยังคงถูกจำกัดจากการขาดการลงทุนในเหมืองใหม่ ส่งผลให้ราคาทองแดงอาจอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องเป็นเวลานาน
นักวิเคราะห์บางรายคาดว่าราคาทองแดงจะพุ่งทำสถิติสูงสุดเหนือ 12,000 ดอลลาร์ต่อตันภายในสิ้นทศวรรษนี้ เพิ่มขึ้น 23% จากระดับปัจจุบันที่ราว 9,700 ดอลลาร์ต่อตัน แม้ผู้บริโภคจะพยายามมองหาทางเลือกอื่น แต่คุณสมบัติของทองแดงที่เหนือกว่าในด้านการนำไฟฟ้า ความทนทาน และความหลากหลายในการใช้งาน ยังคงทำให้ทองแดงเป็นวัสดุที่ยากจะทดแทน
ตามรายงานของสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) คาดว่าการลงทุนในโครงข่ายไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวจะสูงกว่า 400,000 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ หลังจากทำสถิติสูงสุดที่ 390,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2024
BMI คาดว่าความต้องการใช้ทองแดงเพื่อปรับปรุงการผลิตและส่งจ่ายไฟฟ้าทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นเป็น 14.87 ล้านตันภายในปี 2030 จาก 12.52 ล้านตันในปีนี้ ตามข้อมูลล่าสุดที่เปิดเผยต่อสำนักข่าวรอยเตอร์
ศูนย์ข้อมูลและยานยนต์ไฟฟ้าขับเคลื่อนความต้องการใช้ไฟฟ้าในโครงข่าย
ไมเคิล วิดเมอร์ นักวิเคราะห์จาก Bank of America คาดว่าความต้องการทองแดงทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 10% เป็น 30.32 ล้านตันภายในปี 2030 จากระดับในปีนี้ โดยเขาคาดว่าตลาดทองแดงทั่วโลกจะขาดดุลถึง 1.84 ล้านตันในปี 2030
ความต้องการโครงข่ายที่มีความยืดหยุ่นเพิ่มขึ้นอย่างมากในพื้นที่ที่มีการเติบโตของศูนย์ข้อมูลเพื่อรองรับปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้ของเครื่อง
ปีเตอร์ ชาร์แลนด์ ผู้นำระดับโลกด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร จากบริษัทที่ปรึกษาโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก AECOM กล่าวว่า ศูนย์ข้อมูลของ AI และการเรียนรู้ของเครื่องต้องการระบบประมวลผลที่ใหญ่กว่า เร็วกว่า และดีกว่า ซึ่งหมายถึงต้องการพลังงานมากขึ้น
บริษัทที่ปรึกษา CRU ให้ข้อมูลกับรอยเตอร์ว่า คาดว่าความต้องการใช้ทองแดงจากศูนย์ข้อมูลจะเพิ่มขึ้นเป็น 260,000 ตันในปีนี้ จาก 78,000 ตันในปี 2020 และจะทะลุ 650,000 ตันภายในปี 2030
ยานยนต์ไฟฟ้ายังใช้ทองแดงมากกว่ายานยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในแบบดั้งเดิมอย่างมีนัยสำคัญ โดย BMI คาดว่าความต้องการทองแดงจากยานยนต์ไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 2.2 ล้านตันในปี 2030 จาก 1.2 ล้านตันในปี 2025 และจากเพียง 204,000 ตันในปี 2020
อะลูมิเนียมและสายไฟเบอร์ออปติกถูกนำมาพิจารณาแทนทองแดง
ปัญหาการขาดแคลนทองแดงที่ใกล้เข้ามาและราคาที่ทำสถิติสูงสุด ได้จุดประกายคลื่นแห่งนวัตกรรม รวมถึงการหาวัสดุทดแทนและการรีไซเคิล โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมก่อสร้างและการผลิต ซึ่งต้นทุนทองแดงคิดเป็นสัดส่วนใหญ่ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด
แม้อะลูมิเนียมจะถูกพิจารณาว่าเป็นทางเลือกที่ถูกกว่ามานาน โดยมีต้นทุนราวหนึ่งในสามของทองแดง แต่การใช้งานในศูนย์ข้อมูลเพื่อเดินสายไฟกลับถูกละทิ้งไปเกือบหมด ช่วงหนึ่งที่ทองแดงมีปัญหาในการตอบสนองความต้องการ บางคนก็ใช้สายอะลูมิเนียมแล้วเคลือบทองแดง
การรีไซเคิลอาจช่วยให้บรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน เพราะการผลิตทองแดงกลั่นหรือทองแดงทุติยภูมิจากเศษวัสดุสามารถใช้พลังงานน้อยกว่าการผลิตทองแดงปฐมภูมิถึง 65%
นักวิเคราะห์ประเมินว่าทองแดงจากเศษวัสดุจะเพิ่มขึ้นเป็น 11 ล้านตันในปี 2030 จากประมาณ 10 ล้านตันในปีนี้