“สรรเพชญ“แนะรัฐบาลประเมินเงื่อนไขภาษีสหรัฐอย่างรอบด้าน
วันที่ 1 สิงหาคม 2568 นาย สรรเพชญ บุญญามณี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสงขลา พรรคประชาธิปัตย์ แสดงความคิดเห็นกรณีที่รัฐบาลไทยสามารถเจรจาลดอัตราภาษีตอบโต้จากสหรัฐอเมริกา จากเดิม 36% เหลือ 19% ว่า แม้จะถือเป็นความสำเร็จเชิงยุทธศาสตร์ที่ช่วยคลี่คลายแรงกดดันผู้ส่งออกไทยในภาวะเศรษฐกิจโลกผันผวน แต่ไม่ควรมองข้ามเงื่อนไขแฝงที่ไทยยอมแลกให้สหรัฐฯ
“การลดภาษีครั้งนี้ไม่ได้มีแต่ผลได้ ยังมีต้นทุนเชิงโครงสร้างและข้อจำกัดเชิงนโยบายที่เราต้องยอมรับด้วย” นายสรรเพชญ กล่าว
นายสรรเพชญ กล่าวอีกว่า ไทยได้ยอมเปิดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ เป็นศูนย์กว่า 90% ของรายการทั้งหมด พร้อมเว้นภาษีชั่วคราวให้บริการคลาวด์และเทคโนโลยีของบริษัทอเมริกัน รวมถึงเพิ่มโควตานำเข้าพืชเกษตรบางชนิด ซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตในประเทศ
นอกจากนี้ ยังมีเงื่อนไขด้านโครงสร้างที่ควรจับตา เช่น การให้สิทธิพิเศษนักลงทุนสหรัฐฯ ในเขต EEC, การจัดซื้อพลังงานและอากาศยานจากบริษัทอเมริกัน, การยอมรับกฎถิ่นกำเนิดสินค้าใหม่ที่เข้มงวดขึ้น และการกำหนดกรอบเวลา “ลดการเกินดุลการค้าให้ต่ำกว่า 70% ภายใน 5 ปี”
“นี่ไม่ใช่แค่เรื่องภาษี แต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอธิปไตยทางเศรษฐกิจของไทย” นายสรรเพชญ ย้ำ
นายสรรเพชญ เตือนว่า การเร่งลดดุลการค้าไม่ควรทำด้วยการเพิ่มการนำเข้าสินค้าอย่างเดียว เพราะจะยิ่งทำให้เศรษฐกิจไทยพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ มากขึ้นโดยไม่ลดความเสี่ยงที่แท้จริง
ดังนั้น เสนอให้รัฐบาลจัดตั้ง “ทีมเศรษฐกิจ-การค้าเชิงรุก” ระดับรัฐมนตรี เพื่อร่วมมือกับภาคเอกชนในการเจาะตลาดเกิดใหม่ ทั้งเอเชีย ตะวันออกกลาง แอฟริกา และลาตินอเมริกา พร้อมยกระดับคุณภาพห่วงโซ่อุปทานของไทยเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มจากฐานการผลิต
นายสรรเพชญ เสนอว่า หลังดีลภาษีกับสหรัฐฯ ไทยควรวางยุทธศาสตร์ระยะยาวใน 6 ด้านสำคัญ ได้แก่
1.การวางตำแหน่งเชิงภูมิรัฐศาสตร์และความร่วมมือระหว่างประเทศ
2.การขับเคลื่อนเทคโนโลยี AI และนวัตกรรมขั้นสูง
3.การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสมัยใหม่
4.การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวอย่างยั่งยืน
5.การเสริมบทบาทไทยในฐานะศูนย์กลางการเงินระดับภูมิภาค
6.การยกระดับสู่ศูนย์กลางสุขภาพและเศรษฐกิจสุขภาพในอาเซียน
นายสรรเพชญ ยังเตือนว่า สหรัฐฯ กำลังเชื่อมโยงการค้ากับประเด็นภูมิรัฐศาสตร์และความมั่นคงมากขึ้น ไทยจึงจำเป็นต้องมีจุดยืนชัดเจนเพื่อรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
“ถ้าประเทศไทยและกัมพูชาได้รับอัตราภาษีเท่ากันที่ 19% ทั้งที่บริบทต่างกันชัดเจน นั่นสะท้อนว่าเรื่องนี้ไม่ได้วัดกันแค่ตัวเลข แต่เป็นเรื่องภาพลักษณ์และตำแหน่งของประเทศในสายตาฝ่ายเจรจา” นายสรรเพชญ กล่าว พร้อมทิ้งท้ายว่า “เราอาจได้ประโยชน์วันนี้ แต่ต้องไม่แลกด้วยอธิปไตยในวันหน้า”